วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทดสอบการส่งงาน

ทดสอบการส่งงานครั้งที่ 1 ที่นี่

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีถนอมดวงตา 7 ประการ

1. ครอบดวงตา ด้วยการโค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สักประมาณ 10นาที
2. ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่แล้ว สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวย เห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจน สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี
3. กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง เพราะคนที่สายตาสั้นมักจะจ้องและเขม้นตา กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง ทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย
4. กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำเหลืองหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น

5. โฟกัสภาพที่ใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกันตั้งนิ้วชี้มือขวา ให้ห่างจากใบหน้า สัก 3 นิ้ว โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย
6. หลังตื่นนอนทุกเช้าให้ใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่นสัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การวักน้ำเย็นช่วยให้กล้ามเนื้อดวงตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้กวักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน
7. แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ แต่ไม่ต้องจ้อง ปล่อยให้จุดที่เรามอง แกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พัก และมีการปรับตัวดีขึ้น ทำบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้

ที่มา  www.halalthailand.com

ยารักษาสิวทำให้ตับอักเสบ

ดิฉันมีสิวอักเสบมาก คุณหมอบอกว่าเป็นโรคสิวหัวช้าง แนะนำให้รับประทานยาลดสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ ซึ่งคุณหมอบอกว่ายาตัวนี้ถ้าตั้งครรภ์จะทำให้เด็กพิการ ดิฉันรับประทานยาวันละ 20 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกันมานาน 7 เดือนแล้ว คุณหมอบอกว่าอาจต้องรับประทานต่ออีกเป็นปี เมื่อเดือนที่แล้วที่บริษัทมีการตรวจร่างกายประจำปี แพทย์ของบริษัทบอกว่าดิฉันมีค่าเอนไซม์ตับสูงผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการรับประทานยารักษาสิวก็ได้ อยากเรียนถามว่ารายละเอียดเรื่องนี้เป็นอย่างไร

รจนา / กรุงเทพ ฯ
คำถามของคุณรจนานั้น หมอคาดว่ายาที่คุณรจนารับประทานเพื่อรักษาสิว คือยากลุ่มกรดวิตามินเอ ซึ่งมีชื่อเคมีคือ isotretinoin มีชื่อทางการค้าที่ขายในประเทศไทยคือ Roaccutane , Acnotin และ Isotane เป็นยารักษาสิวที่ใช้รักษาโรคสิวหัวช้าง สิวที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ สิวอักเสบเรื้อรังที่ทำให้จมูกผิดรูปร่าง สิวที่ทำให้เกิดแผลเป็นมากๆ และสิวในผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวลเกินเหตุ
ยารักษาสิวตัวนี้จะทำให้เด็กในครรภ์พิการ ผู้ที่ได้รับยาจึงต้องคุมกำเนิดก่อนรับประทานยานาน 1 เดือน และคุมกำเนิดระหว่างรับประทานยา ต้องหยุดยาล่วงหน้า 1 เดือนถึงจะตั้งครรภ์ได้ ต้องไม่บริจาคเลือดระหว่างรับประทานยาตัวนี้ ยาตัวนี้ต้องรับประทานต่อเนื่องกันนาน คือต้องรับยาจนได้ขนาดยาสะสมที่ 120 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าคุณรจนาหนัก 50 กิโลกรัม ก็ต้องทานยาจนได้ยาสะสมเท่ากับ 120 X 50 คือ 6,000 มิลลิกรัมนั่นเอง
ถ้าทานวันละ 20 มิลลิกรัม ก็ต้องรับประทานต่อเนื่องกันนาน 300 วัน ยาตัวนี้ทำให้ริมฝีปากแห้ง ตาแห้ง ผิวแห้ง บางคนอาจมีเลือดกำเดาไหล ในบางรายอาจทำให้ตับอักเสบได้จริง และอาจทำให้มีไขมันในเลือดสูง
พบว่ายารักษาโรคผิวหนังหลายตัวมีผลเสียต่อตับ จึงต้องควรระมัดระวังไม่ใช้ยาเหล่านี้โดยไม่จำเป็น หรือต้องคอยตรวจการเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการของตับอยู่เสมอ เช่น
ยา methotrexate ที่ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน อาจทำให้ตับแข็งได้
ยากลุ่มกรดวิตามินเอที่ใช้รักษาโรคสิวและโรคสะเก็ดเงิน อาจมีพิษต่อตับและทำให้มีค่า เอนไซม์ตับสูงขึ้นได้ ดังเช่นที่คุณรจนาถามมา
ยา minocycline ที่ใช้รักษาโรคสิวอาจทำให้ตับอักเสบได้
ยา griseofulvin , ketoconazole , terbinafine ที่รักษาการติดเชื้อราและยีสต์ของผิวหนัง อาจมีพิษต่อตับไต
 
ที่มา  http://www.halalthailand.com/

5 เคล็ดลับสวยใสไร้สิวแบบชีวจิต

เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ
1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง

ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย

ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป

2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ
3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

ที่มา   www.halalthailand.com

ปัญหาขอบตาดำ

ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เราจะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมีดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทิน ก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส ความสวยงามก็ลดลงไปแล้ว ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำทำให้กลับมาสดใสจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำเป็นมากขึ้น
สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนมีสาเหตุจากหลายๆ สาเหตุ
- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก
- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป
- การระคายเคืองแถวๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น
- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่
- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม
- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ
การรักษาขอบตาดำ

ถ้าไม่ใจร้อน รักษาแบบได้ผลช้าๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้น และได้ผลเร็วๆ การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอยๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้
ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ที่มา  http://www.halalthailand.com/

สมุนไพรชูรส

เมื่อการดำเนินชีวิตแปรเปลี่ยนไป ผู้คนหันมาพึ่งอาหารสำเร็จรูป อาหารนอกบ้าน สารพัดโรคจึงตามมา ทั้งโรคหัวใจ โรคเครียด โรคประสาท 'ผงนัว' ช่วยสร้างรสชาติอาหารให้กลมกล่อม ผลิตจากสมุนไพรธรรมชาติ นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
หลังจากที่ถนนลาดยางตัดผ่านชุมชนชาวกะเริง ชนเผ่าหนึ่งในภาคอีสานแถบจังหวัดสกลนคร เสาไฟขึ้นเรียงรายริมถนน บ้านแต่ละหลังมีไฟฟ้าใช้ วิถีชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยบริโภคพืชผักท้องถิ่นเด็ดจากริมรั้ว แต่ละครอบครัวก็หันมาพึ่งอาหารถุงสำเร็จรูป ซื้อวัตถุดิบจากรถกับข้าวเร่ขาย และสิ่งที่ตามมาก็คือ ชาวบ้านเริ่มป่วยเหมือนคนเมือง บางครั้งเป็นโรคหัวใจ โรคเครียด โรคประสาท
?เราเข้าไปทำแผนแม่บทชุมชน วิจัยศึกษาวิถีชีวิตชาวบ้านที่เปลี่ยนไป ทำให้สุขภาพเริ่มแย่ลง จากเดิมชาวบ้านเคยบริโภคพืชผักสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่น เมื่อระบบเกษตรฯ เริ่มเปลี่ยนเน้นการส่งออก ชาวบ้านจึงผลิตเพื่อขายและต้องพึ่งพิงอาหารถุง อาหารกระป๋อง ที่มีผงชูรสเป็นส่วนประกอบทำให้ชาวบ้านเป็นโรคเหมือนคนในเมือง ทั้งโรคหัวใจ โรคเครียด โรคประสาท ความดันโลหิตสูง ทั้งๆ ที่ชาวบ้านเคยอายุยืนกว่า 100 ปี ซึ่งส่วนใหญ่กินอาหารพื้นถิ่น? ยงยุทธ ตรีนุชกร นักพัฒนาอิสระ ครูภูมิปัญญาไทย กล่าว
วิถีชีวิตที่แปรเปลี่ยนเช่นนี้ คงมิได้เกิดขึ้นเพียงแค่ชุมชนชาวกะเริง หลายชุมชนแถบชนบท เมื่อต้องพึ่งพิงอาหารนอกบ้าน พวกเขาเริ่มป่วยคล้ายๆ กับคนเมือง ปรากฏการณ์เช่นนี้น่าเป็นห่วง แล้วจะมีทางออกเพื่อคืนการมีสุขภาพที่ดีให้กับชุมชนอย่างไร?
ผงนัว เพิ่มรสชาติเพื่อสุขภาพ
เมื่อสุขภาพของชาวบ้านในชุมชนเริ่มแย่ลง ทางออกจากเวทีเรื่องผักพื้นบ้าน เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว ก็มีประเด็นนำเสนอว่า จะใช้อะไรแทนผงชูรส และในที่สุด 'ผงนัว' คือทางออกที่ชัดเจนขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ 'นัว' มาจากภาษาพื้นถิ่นอีสานหรือภาษาไทยลาว แปลว่า 'กลมกล่อม' ผงนัวแปรรูปมาจากสมุนไพรหลายชนิด ที่สามารถใช้ทดแทนผงชูรสได้ และไม่ก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกาย นอกจากนี้ผงนัวยังเป็นรูปแบบหนึ่งของวิธีคิดจากระบบเศรษฐกิจฐานราก ครูภูมิปัญญาไทยอย่างอาจารย์ยงยุทธ ตรีนุชกร เป็นคนแรกที่สัมผัสชีวิตชุมชนชาวอีสาน และได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงว่า ชาวบ้านเริ่มป่วยมีโรคภัยใกล้เคียงกับคนเมือง คือมีสุขภาพที่แย่ลง จึงเป็นเหตุที่ต้องพลิกฟื้นภูมิปัญญาขึ้นมาใช้ โดยร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสกลนคร และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อาจารย์นิภาพร อามัสสา สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรสกลนคร สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสกลนคร และทีมนักวิจัยจากสถาบันเดียวกัน ได้ทำการวิจัยคุณค่าทางอาหาร พร้อมแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้ผงนัวสำเร็จรูป สะดวกกับการใช้งาน และเก็บได้นาน ได้ศึกษาวิจัยเรื่องนี้หลายปีจนกระทั่งปัจจุบันสามารถผลิตออกจำหน่ายและถ่ายทอดงานวิจัยสู่ชุมชน
"ในฐานะที่ตนเป็นคนพื้นเพอีสาน ทำให้เห็นและรับรู้ถึงการใช้พืชผักพื้นบ้าน อย่างการนำหม่อนมาใช้ในการปรุงอาหารให้มีรสชาติที่อร่อย ต้มไก่ใส่ใบหม่อน นอกจากนี้ยังมี 'สูตรข้าวเบือ' ที่ใช้ข้าวเหนียวมาแช่น้ำ แล้วป่นใส่ในอาหารเพิ่มรสชาติ โดยเฉพาะที่สกลนคร มีเครื่องปรุงรสที่แปลกออกไปคือ ชาวบ้านใช้ใบของผักพื้นบ้านหลายชนิดตากแดดให้แห้ง แล้วตำให้ละเอียดผสมกัน เพื่อเก็บไว้ใส่อาหารเวลาต้มแกง หรือที่เรียกว่า ผงนัว" อาจารย์นิภาพรกล่าว
ผักที่ใช้ทำผงนัวจะมี 12 ชนิด ได้แก่ ใบผักหวาน, ใบมะรุม, ใบหม่อน, ใบกระเทียม, ใบหอม, ใบมะขาม, ใบกระเจี๊ยบ, ผักโขมทั้งต้น, ใบส้มป่อย, ใบน้อยหน่า, ใบชะม่วง และใบกุยช่าย เลือกใบที่ไม่แก่ไม่อ่อนจนเกินไป ผสมกับผักพื้นบ้านในอัตราส่วนที่ต่างกันไป แต่ที่มีอัตราส่วนปริมาณมาก คือ ผักหวานและใบหม่อน รองลงมาเป็นใบมะรุม และที่ใส่ลงไปน้อยสุดคือ ใบน้อยหน่า เนื่องจากมีการถ่ายทอดมาว่าใบน้อยหน่ามีพิษ ซึ่งคนสมัยโบราณนำใบน้อยหน่ามากำจัดเหา
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพืชชนิดไหนมีพิษและมีรสขม หากใส่จำนวนน้อยถือว่าเป็นยาและใช้แกงกินก็ได้ นอกจากนี้แล้ว ยังเพิ่มข้าวเหนียวแช่น้ำ ข้าวกล้องแช่น้ำ และข้าวเหนียวนึ่งสุก ข้าวกล้องหุงสุก และเติมเกลือไอโอดีนลงไป ผ่านการอบแห้งแล้วป่นรวมกัน ซึ่งงานวิจัยผงนัว ยังคงส่วนผสมที่ชาวบ้านเคยทำไว้แต่มาปรับปรุงสัดส่วน และเพิ่มเกลือไอโอดีนลงไป พร้อมดัดแปลงเรื่องของรสชาติให้เหมาะกับอาหารแต่ละชนิด
ผงนัวจากงานวิจัยได้มีการทดสอบรสชาติให้เป็นที่น่าพอใจ จึงมีด้วยกัน 2 รส คือ รสมันหวาน ใช้สำหรับต้ม ผัด หมัก แกงและย่าง และรสเปรี้ยวใช้กับต้มยำ ยำ ลาบ อ่อม แจ่ว รสนี้เพิ่มผักที่มีรสเปรี้ยว พวกส้มป่อยหรือใบมะขาม ทั้งนี้รสชาติของผงนัวจะเพิ่มรสให้อาหารได้นั้นต้องใส่ในน้ำต้มแกงตอนร้อนๆ ถ้าชิมจะไม่มีรสชาติ แต่รู้สึกได้ว่ามีรสปะแล่มๆ คล้ายผงชูรสที่ขายตามท้องตลาด
"การทำผงนัวต้องใช้เวลาทั้งปี เพื่อเก็บใบผักพื้นบ้านให้ครบ เนื่องจากผักแต่ละชนิด มีฤดูกาล พวกใบหอม ใบกระเทียมจะมีตอนฤดูหนาว ผักหวานต้องรอให้ถึงหน้าฝนจึงจะมีใบ" อาจารย์นิภาพร อธิบาย

ที่มา  http://www.halalthailand.com/

อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

ก้าวแรกในการนำไปสู่การกินอย่างมีคุณภาพ
อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวานคือ อาหารทั่วไปที่ไม่แตกต่างจากอาหารที่ทุกคนในครอบครัวควรรับประทาน แต่เป็นอาหารที่มีความหลากหลายที่ร่างกายต้องการครบถ้วนและสมดุล จึงเป็นอาหารที่ทุกคนในครอบครัวสามารถรับประทานร่วมกับผู้ป่วยได้ สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงเสมอคือปริมาณและชนิดของอาหารที่ควรรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณและชนิดของแป้งและไขมัน เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดรวมถึงการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้ สิ่งที่ควรปฎิบัติให้เป็นนิสัยคิอการรับประทานอาหารมื้อหลักหรืออาหารว่างให้เป็นเวลาทุกวัน และรับประทานในปริมาณที่ใกล้เคียงกันในแต่ละวัน ไม่งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ผู้ป่วยสามารถที่จะลองอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ได้เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจถ้าต้องการลดน้ำหนัก ให้ลดอาหารที่รับประทานในแต่ละวันแต่ไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจจะทำให้รับประทานเกินอัตราในมื้อต่อไป ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นลงไม่สม่ำเสมอ
ผู้เป็นเบาหวานอาจใช้ปิรามิดแนะแนวอาหารหรือธงโภชนบัญญัติของไทยเป็นแนวทางเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลายและสมดุล เนื่องจากไม่มีอาหารชนิดใดชนิดเดียวที่จะให้สารอาหารครบถ้วน ควรเลือดรับประทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ทุกวัน เพื่อให้ได้พลังงานและคุณค่าที่พอเหมาะกับร่างกายของแต่ละคนซึ่งขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ ขนาดรูปร่าง และระดับกิจกรรมการทำงานในแต่ละวัน ปรึกษานักโภชนบำบัดเพื่อรับคำแนะนำในการรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง รวมถึงระดับพลังงานที่เหมาะสมในการควบคุมเบาหวามอย่างมีคุณภาพ
สิ่งที่ผู้เป็นเบาหวานควรให้ความสนใจกับฉลากโภชนาการ
- ควรเปรียบเทียบปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคกับหมวดอาหารแลกเปลี่ยนซึ่งโดยปกติจะไม่เท่ากัน

- ปริมาณคาโบร์ไฮเดรตทั้งหมดและปริมาณน้ำตาล จะช่วยให้ผู้เป็นเบาหวานสามารถแลกเปลี่ยนอาหารประเภทขนมหวานได้เล็กน้อยในบางโอกาส

- ปริมาณพลังงาน ไขมันรวม ไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่ต้องการนับพลังงานและไขมัน รวมถึงผู้ที่ต้องการควบคุมคอเลสเตอรอลและน้ำหนักตัว

- ปริมาณโซเดียมเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโรคความดันและลดความเสี่ยงของโรคไต
แนวทางการบริโภคเพื่อสุขภาพประจำวัน
1.ข้าว/แป้ง/ถั่ว/เมล็ดธัญพืช

- ควรเลือกรับประทานข้าวซ้อมมือหรือขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ได้ขัดสีเพื่อให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารมากขึ้น

- ธัญพืช เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง เป็นแหล่งของใยอาหาร

- เลือกอาหารว่างที่มีไขมันต่ำ เช่น ข้าวโพด เผือก มัน ฟักทอง ขนมปัง ธัญพืช เป้นต้น
2.ผัก

- เลือกรับประทานผักให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารเพียงพอ

- หลีกเลี่ลงการผัดผักด้วยน้ำมันมากๆหรือการเติมซอสที่เค็มจัด
3.ผลไม้

- เลือกผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ เพราะจะได้กากใยอาหารมากกว่า

- ถ้าเลือกน้ำผลไม้แทนผลไม้สด ควรเป้นน้ำผลไม้ 100 %
4.นม และผลิตภัณฑ์นม(พร่อง หรือขาดไขมัน)

- เลือกนม และผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย นอกจากให้โปรตีนสูงแล้ว ยังให้แคลเซี่ยมสูงด้วย

- หลีกเลี่ยงนมปรุงแต่งรสต่างๆ
5.โปรตีน หรือเนื้อสัตว์ (ไขมันต่ำ)

- เลือกปลาและเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น

- เลือกเนื้อล้วน ไม่ติดหนัง และมัน

- ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ควรจำกัดปริมาณไข่แดง เครื่องในสัตว์ เป็นต้น

6.ไขมัน ของหวาน แอลกอฮอล์ อาหารที่มีเกลือสูง

- หลีกเลี่ยงขนมหวานที่มีทั้งน้ำตาลและไขมันสูง เช่น คุกกี้ เค้ก ไอศกรีม เป้นต้น

- หากต้องการรสชาติหวานอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สารให้ความหวานแทนน้ำตาล

- จำกัดไขมันที่จะใช้ปรุงอาหารแม้จะเป็นน้ำมันพืช

- หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู หมูสามชั้น และเนยสด

- จำกัดกะทิ

- หลีกเลี่ยงการทอด และผัดที่ใช้น้ำมันมาก

- ปรุงอาหารโดยวิธี ตุ๋น ต้ม นึ่ง ย่าง อบ ยำ

- หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองที่มีส่วนผสมของเกลือสูง

- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งให้พลังงานใกล้เคียงกับไขมัน และร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นไขมัน(ไตรกีเซอร์ไรด์)ได้

ที่มา  www.halalthailand.com

การป้องกันข้อเข่าเสื่อม

         แม้ภาวะข้อเข่าเสื่อมจะเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่ออายุมากขึ้น แต่เราสามารถป้องกันภาวะข้อเข่าเสื่อมให้เกิดขึ้นช้าที่สุด วิธีที่สามารถชะลอความเสื่อมข้อเข่าได้คือ
การปรับพฤติกรรมการใช้ข้อเข่า คือ การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เป็นอันตรายต่อข้อเข่า ได้แก่ การนั่งยองๆ พับเพียบ คุกเข่า หรืออยู่ในท่างอข้อเข่าเป็นเวลานาน การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ การใช้ส้วมนั่งยอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อข้อเข่าอย่างมาก
การลดน้ำหนัก ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการลดอาการปวดและชะลอความเสื่อมข้อเข่าได้ บ่อยครั้งพบว่าการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยก็อย่าให้น้ำหนักมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และควรทำสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ การว่ายน้ำ รองลงมาคือการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณข้อเข่า การเดินออกกำลังกาย จัดเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมในผู้สูงอายุ การวิ่งออกกำลังกายอาจไม่เหมาะในกรณีที่มีข้อเข่าเสื่อม เพราะจะมีแรงกระแทกกระทำต่อข้อเข่าอย่างมาก
การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก โดยปัญหาหนึ่งที่พบได้เสมอในผู้สูงอายุคือ ภาวะกระดูกพรุนโดยเฉพาะในผู้หญิงซึ่งพบได้บ่อย ทำให้กระดูกอ่อนแอลง เกิดการเสื่อมได้เร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงควรทานอาหารที่มีแคลเซียมที่เพียงพอ เช่น ในเพศหญิงหลังวัยหมดประจำเดือนอาจขอคำปรึกษาจากคลินิกวัยทอง ซึ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางสูตินรีเวช เพื่อพิจารณาการให้ฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน ซึ่งแม้จะพบว่ามีโอกาสทำให้พบอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกได้สูงขึ้น
แต่หากใช้ในขนาดของฮอร์โมนที่เหมาะสมและได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ก็สามารถใช้ฮอร์โมนทางเพศในการรักษาและป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้อย่างปลอดภัยและมีราคาถูก หรืออาจขอคำปรึกษาจากศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เพื่อพิจารณาการใช้ยาหรือฮอร์โมนทางกระดูกให้มีความแข็งแรงมากขึ้นเหมือน ตอนวัยหนุ่มวัยสาวอีกครั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ การศึกษาเรียนรู้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร
ที่มา  http://www.halalthailand.com/

การเลือกซื้อคอนแทคเลนส์

คนเราแต่ละคน แตกต่างกัน บางคน ตาโต บางคนตาเล็ก ตาโปน ตาลึก ไม่เหมือนกัน คอนแทคเลนส์ที่ดีควร พอดีกับตาคนคนนั้น ทั้ง สายตา และกระชับตาดี
เลนส์ที่กำลังสายตาพอดี จะทำให้ท่านเห็นได้ชัดเจน สบายตา ไม่ต้องเพ่ง แต่ถ้าใส่เลนส์แล้วรู้สึกว่า เดี๋ยวชัดเดี๋ยวไม่ชัด แสดงว่า เลนส์ชิ้นนั้นไม่กระชับพอดีตา ลองทดลองด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ถ้าท่านใส่เลนส์อยู่ให้หลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้น ถ้าภาพมัวแล้วค่อยๆ ชัดขึ้น ก็แสดงว่าเลนส์ที่ใส่อยู่นั้น หลวมเกินไป แต่ในทางกลับกัน ถ้าลืมตาขึ้น ภาพคมชัด แล้วค่อยๆ มัวลง ต้องกระพริบตาบ่อยๆ ถึงชัดขึ้น มักเกิดจากเลนส์คับเกินไป อาจต้องใช้เลนส์ที่หลวมกว่านั้น โดยส่วนมากผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจว่า Contact Lens เป็น Free Size
การเริ่มต้นใช้เลนส์อย่างถูกวิธี

ควรบอกจักษุแพทย์ เป็นผู้เลือกเลนส์ที่น่าจะเหมาะสมกับคุณ

บอกความต้องการของคุณให้ชัดเจนว่า ต้องการใช้เลนส์อะไร

เอาเลนส์นิ่มหรือแข็ง อยากให้ชัดมากๆ หรือเอาสบายๆ เข้าไว้

อยากใส่เลนส์ทุกวันหรือเฉพาะวันตีกอล์ฟ

เอาแบบเปลี่ยนรายวัน หรือเอาแบบประหยัด

ถ้าคุณเป็นคนแพ้ง่าย ก็บอกไปด้วย

งานอาชีพของคุณ ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ เป็นพนักงานบนเครื่องบิน เป็นศัลยแพทย์ มีข้อพิจารณา ข้อระวังในการ เลือกเลนส์เหมือนกัน

คุณหมอจะให้คุณลองคอนแทคเลนส์ที่เลือกไว้ ประเมินผลเบื้องต้นถ้าพอดี ก็ให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันสัก 2-3 วัน แล้วนัดกลับมาตรวจอีกครั้งให้แน่ใจว่าเลนส์พอดี แต่พอไปใส่ทำงาน เมื่อตาแห้งเลนส์หลวมลง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยคุณควรขอใบ Prescription จากคุณหมอ เพื่อสั่งซื้อเลนส์ในคราวต่อๆ ไป ซึ่งอาจซื้อตามร้านค้า หรือเดี๋ยวนี้สั้งทำทาง Internet ก็ได้
เมื่อได้เลนส์มา ควรตรวจสอบที่ข้างกล่องว่า ตรงกับใน Prescrition หรือไม่ ซึ่งประกอบด้วย

Lens Power สั้นยาว เอียง เท่าไร

Base Curve ซึ่งย่อว่า B.C. หมายถึง ความคับหลวมของเลนส์

Diameter หรืเส้นผ่านศูนย์กลาง

เลนส์ต่างยี่ห้อที่กำลังเท่ากัน มี Base curve เท่ากัน อาจจะใส่ไม่พอดีเหมือนเดิม ถ้าใส่เลนส์อะไรพอดีแล้ว ควรใช้แบบเดิมตลอด ไม่ควรเปลี่ยนบ่อยๆ
หลายคนใช้คอนแทคเลนส์ไปเรื่อยๆ โดยไม่เคยมาพบแพทย์เลย ลองคิดดูนะครับ การใช้คอนแทคเลนส์ต้องเสียเงินอย่างต่ำ ปีละ 4- 5 พันบาทอยู่แล้ว แถมการใช้ที่ไม่ถูกต้องยังเสี่ยงกับสุขภาพตาได้ การให้คุณหมอช่วยเลือกเลนส์ให้ คุณจะมั่นใจว่า คุณจะใช้เงินของคุณอย่างคุ้มค่า ได้ดวงตาที่มีสุข

ที่มา  http://www.halalthailand.com/

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิงไม่ควรพลาด

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า

มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้
• ลูกพรุน (Prunes)

ลูกพรุนเป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเรา

เมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย

ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจะเป็นสีชมพู-ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลาย

สาเหต เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัยจนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาดคือเป็นโรคโลหิตจาง

นั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการ

ดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือน

สตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด

ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว
• ถั่ว

ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม “ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ” ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วย

โปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่

ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยาก

อาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
• บรอคโคลี่

เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตาม

ธรรมชาติซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง

จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
• กล้วยไข่

กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ

เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก

ความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกาย

ของเรา ซึ่งก็คือสิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้นสิ่งที่สองความสามารถในการ

ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆพร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ

(Detoxification) ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเองก็คือคุณต้อง

รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มากซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์

(Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
• ฝรั่ง

คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้าง

คอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัว

สารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี

มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆตัวเกาะเกี่ยวกัน

เป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบน

ใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยาก

คงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ
• แอปเปิ้ล

มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน” แต่ที่น่าสนใจสำคัญ

คุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน” นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลด

โคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้เพราะ

แอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษ

ชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณ

ไม่รู้สึกหงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้

เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่าเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อย

สลายไขมันและแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอล

เหล่านั้นและพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
• ส้ม

แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง

เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะนอกจากนี้

หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้

ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ
ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการ

รักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบัน

โภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทาน

รวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัย

ไข้เจ็บมารบกวนค่ะ
ที่มา  http://www.halalthailand.com/

สมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้

สาเหตุของโรคดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ปกติจะมีสารเมือก (mucin) หลั่งออกจากต่อมในส่วนล่างของหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและส่วนบนของลำไส้เล็ก เพื่อป้องกันเยื่อบุกระเพาะจากฤทธิ์กัดของน้ำย่อยที่เป็นกรดอย่างแรง แต่มีปัจจัยบางอย่างที่คาดว่าจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง เกิดการอักเสบและเป็นแผลได้ง่าย เช่น ภาวะขาดอาหาร ภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานยาหรือสารบางชนิดที่กัดกระเพาะ สูบบุหรี่จัด ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนมากหรือเนื่องจากกรรมพันธุ์
อาการระยะแรก คือ ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ อาจมีความรู้สึกอิ่มแน่นหรือหิวร่วมด้วย แผลในกระเพาะอาหารมักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 1-ชั่วโมงครึ่ง ส่วนแผลในลำไส้มักปวดท้องหลังอาหารประมาณ 2-4 ชั่วโมง และช่วงดึกหลังเที่ยงคืนด้วย
การรักษาจะไม่หายขาด ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองคล้ายกับผู้ป่วยท้องอืด ท้องเฟ้อ ระยะที่ปวดท้องควรดื่มนมถั่วเหลืองทุก 3-4 ชั่วโมงพร้อมทั้งใช้สมุนไพรที่แนะนำ รับประทานอาหารอ่อน ทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่ทานบ่อยๆ งดอาหารรสจัดและสิ่งต้องห้ามข้างต้น และหาทางคลายเครียดด้วย จะมีสมุนไพรที่ช่วยรักษาเยื่อบุทางเดินอาหารให้แข็งแรงขึ้น และควรใช้สมุนไพรขับลมร่วมด้วย

กล้วยน้ำว้ารับประทานผลดิบสดครั้งละครึ่งถึง 1 ผล อาจใช้ผลดิบหั่นบางๆตากแห้ง บดเป็นผงชงน้ำดื่ม ใช้ผงยาเท่ากับครึ่งถึง 1 ผล
ข้อควรระวัง อาจมีอาการท้องอืดหลังรับประทานยานี้ แก้ได้โดยดื่มน้ำต้มขิงหรือสมุนไพรขับลมอื่นๆ

ขมิ้นชันผงขมิ้นครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอนหรือปั้นเป็นลูกกลอนขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2 เม็ด
ที่มา  http://www.halalthailand.com/

พันธุ์ไม้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

ฝิ่น (Opium)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Papaver sonniferum L.

วงศ์ : PAPAVERACEAE

สรรพคุณ : ผลแห้งที่สกัดยางฝิ่นออกแล้ว ใช้ในขนาด 4-10 g. ใช้ทางยาโดยจะมีผลต่อปอด, ลำไส้ใหญ่, ไต เป็นยาฝาดสมาน, แก้ไอเรื้อรัง, แก้ปวด, แก้ท้องเสีย, แก้บิด, แก้ปวดท้อง, แก้โรคริดสีดวงทวาร, แก้หืดหอบ, ถอนพิษฝิ่น ส่วน alkaloids อื่น ๆ ที่พบในฝิ่นดิบนั้น จะเป็นยาเสพติด คลายกังวล สงบประสาท ช่วยให้นอนหลับ แก้ปวดเกร็ง เป็นยาฝาดสมาน ช่วยการไหลเวียนของโลหิต โดย Morphine จะถูกใช้เป็นยาแก้ปวดอย่างแรง ช่วยสงบประสาท โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนหน้า ส่วน Codeine จะมีฤทธิ์ที่อ่อนกว่า จึงนำไปใช้เป็นยาแก้ไอที่ได้ผลชะงัด
ฝิ่นเป็นสารประกอบชนิดหนึ่ง ซึ่งได้จากยางของผลฝิ่น ในเนื้อฝิ่นมีสารเคมีผสมอยู่มากมาย ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน เกลือแร่ ยางและกรดอินทรีย์เป็นแอลคะลอยด์ (Alkaloid) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ฝิ่นกลายเป็นสารเสพติดให้โทษที่ร้ายแรง แอลคะลอยด์ในฝิ่นแบ่งแยกได้เป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1

ออกฤทธิ์ทำให้เกิดอาการมึนเมา และเป็นยาเสพติดให้โทษโดยตรง แอลคะลอยด์ประเภทนี้ทางเภสัชวิทยาถือว่า เป็นยาทำให้นอนหลับ (Hypnotic) แอลคะลอยด์ที่เป็นสารเสพติดซึ่งออกฤทธิ์ตัวสำคัญที่สุดในฝิ่น คือ มอร์ฟีน (Morphine)
ประเภทที่ 2

ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบหย่อนคลายตัว ซึ่งในทางเภสัชวิทยาถือว่า แอลคะลอยด์ในฝิ่นประเภทนี้ไม่เป็นสารเสพติด แต่มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อของร่างกายหย่อนคลายตัว ซึ่งมีปาปาเวอร์รีน
ฝิ่นเป็นพืชล้มลุกขึ้นในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 ฟุตขึ้นไป เป็นยาเสพติดที่เป็นต้นตอของยาเสพติดร้ายแรง เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคอีน มีการลักลอบปลูกฝิ่นมากทางภาคเหนือของประเทศไทยบริเวณแนวพรมแดน ที่เรียกว่าสามเหลี่ยมทองคำ
เนื้อฝิ่นได้มาจากยางของผลฝิ่นที่ถูกกรีดจะมีสีขาว เมื่อถูกอากาศจะมีสีคล้ำลง กลายเป็นยางเหนียวสีน้ำตาลไหม้ หรือดำ มีกลิ่นเหม็นเขียวและรสขม เรียกว่า ฝิ่นดิบ ส่วนฝิ่นที่มีการนำมาใช้เสพ เรียกว่า ฝิ่นสุก ได้มาจากการนำฝิ่นดิบไปต้มหรือเคี่ยวจนสุก
ฤทธิ์ในทางเสพ :

ฝิ่นออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีอาการขาดยาทางร่างกาย
อาการผู้เสพ :

จิตใจเลื่อนลอย ง่วง ซึม แก้วตาหรี่ พูดจาวกวน ความคิดเชื่องช้า ไม่รู้สึกหิว ชีพจรเต้นช้า
โทษทางกฎหมาย :

จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522



มอร์ฟีน (Morphine)

มอร์ฟีนเป็นแอลคะลอยด์ (Alkaloid) ของฝิ่นที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ฝิ่นมีฤทธิ์เดชแห่งความมึนเมา ชาวเยอรมันชื่อ Serturner เป็นผู้สกัดจากฝิ่นเมื่อปี ค.ศ. 1803 (พ.ศ. 2346) ได้เป็นครั้งแรก ฝิ่นชั้นดีจะมีมอร์ฟีนประมาณ 10% - 16% ฝิ่นหนัก 1 ปอนด์นำมาสกัดจะได้มอร์ฟีนประมาณ 0.22 ออนซ์ หรือ 6.6 กรัม มอร์ฟีนมีลักษณะ 2 รูป คือ รูปอิสระ (Free) และรูปเกลือ (Salt) สำหรับที่มีลักษณะเป็นรูปของเกลือ ได้แก่ ซัลเฟท (Sulfate) ไฮโดรครอลไรด์ (Hydrochloride) อาซิเตท (Acetate) และทาร์เตรท (Tartrate) มอร์ฟีนรูปเกลือที่นิยมทำมากคือ Sulfate ในปัจจุบันมอร์ฟีนสามารถทำขึ้นได้ โดยการสังเคราะห์ด้วยกรรมวิธีทางเคมีแล้ว
มอร์ฟีนเป็นผงสีขาวหรือเทาเกือบขาว ไม่มีกลิ่น มีรสขม มีฤทธิ์สูงกว่าฝิ่น เสพติดได้ง่าย มีลักษณะเป็นเม็ด เป็นผง และเป็นก้อน หรือละลายบรรจุหลอดสำหรับฉีด นำเข้าสู่ร่างกายโดยวิธีฉีดเป็นส่วนมาก มอร์ฟีนใช้เป็นยาหลักหรือยามาตรฐานของยาแก้ปวด ยาจำพวกนี้กดระบบประสาทส่วนกลาง ลดความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้รู้สึกง่วงหลับไป และลดการทำงานของร่างกาย อาการข้างเคียงอื่น ๆ ก็คือ อาจทำให้คลื่นเหียนอาเจียน ท้องผูก เกิดอาการคันหน้า ตาแดงเพราะโลหิตฉีด ม่านตาดำหดตีบ และหายใจลำบาก
ฤทธิ์ทางเสพติด :

มอร์ฟีนออกฤทธิ์กดระบบประสาท มีอาการเสพติดทั้งร่างกายและจิตใจ มีอาการขาดยาทางร่างกาย
อาการผู้เสพ :

คลื่นเหียนอาเจียน ท้องผูก เกิดอาการคันหน้า ตาแดง ซึม ง่วงนอน ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม
โทษที่ได้รับ :

ร่างการทรุดโทรม สมองมึนชา สติปัญญาเสื่อมโทรม
โทษทางกฎหมาย :

จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
กระท่อม (Kratom)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mitragyna speciosa (Korth.) Haviland

วงศ์ : RUBIACEAE

สรรพคุณ : กระท่อมมีการใช้กันมานานกว่า 100 ปี ในประเทศแถบมลายูเดิม โดยใช้ทดแทนฝิ่น ใช้ถอนพิษฝิ่น โดยการเคี้ยวใบสด สูบใบแห้ง หรือใช้น้ำมันจากการกลั่นใบ จะมีฤทธิ์ทำให้ผู้เสพเคลิบเคลิ้ม ชวนฝัน ไม่ถึงขนาดเป็นยาเสพติดอย่างแรง สำหรับในประเทศเรา เนื่องจากกระท่อมถูกจัดเป็นพืชเสพติด การปลูกต้องอยู่ในการควบคุมของรัฐที่ได้มีพระราชบัญญัติกระท่อม ห้ามมิให้มีการปลูกและมีไว้ครอบครอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2486 ในยาไทยโบราณจะใช้ใบกระท่อมมาบำบัดอาการท้องร่วง และเคี้ยวกินแทนฝิ่น เพราะกระท่อมจะช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกาย ทนต่องานหนัก ทนแดด แต่ไม่ทนต่อฝนและความเย็น ทำให้ไม่อยากอาหาร ปากแห้ง และท้องผูก ใช้ภายนอกเป็นยาพอกบาดแผล และขับพยาธิ์ในเด็ก และเชื่อกันว่าเมื่อกินกระท่อมสดวันละ 3 ใบ จะแก้โรคเบาหวานได้
กระท่อม เป็นพืชเสพติดชนิดหนึ่ง ส่วนมากพบในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอินเดียและในประเทศไทย ลักษณะเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางมีแก่นเป็นเนื้อไม้แข็ง ใช้ส่วนของใบเป็นสิ่งเสพติด ลักษณะใบคล้ายกระดังงาหรือใบฝรั่งต้นหนาทึบ ต้นกระท่อมมี 2 ชนิด คือ
ชนิดที่มีก้านและเส้นใบ เป็นสีแดงเรื่อ ๆ

ชนิดที่ต้นสีเขียว ใบสีเขียว ดอกกลมโตเท่าผลพุทราล้อมรอบด้วยเกสรสีแดงเรื่อ ๆ คล้ายดอกกระถิน มีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น กระทุ่มโศก กระทุ่มพาย เป็นต้น
ฤทธิ์ในทางเสพ :

ในใบกระท่อมมีสารไมตราจัยนินที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท มีอาการเสพติดทางร่างกายเล็กน้อย มีอาการเสพติดทางจิตใจ อาจมีอาการขาดยาทางร่างกายแต่ไม่รุนแรง
อาการผู้เสพ :

ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทนแดดไม่รู้สึกร้อน ทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมมีอาการมีนงง ปากแห้ง นอนไม่หลับ ท้องผูก
โทษที่ได้รับ :

ร่างการทรุดโทรม มีอาการประสาทหลอน จิตใจสับสน
โทษทางกฎหมาย :

กระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522
กัญชา (Cannabis)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cannabis sativa L.

วงศ์ : CANNABACEAE

สรรพคุณ : เมล็ดให้น้ำมันชักเงา, ทำสบู่, ผลิตเครื่องสำอาง เป็นต้น ในทางยาในขนาดที่ใช้ 9-15 g. กินเป็นยา โดยจะมีผลต่อม้าม, กระเพาะและลำไส้ใหญ่ กินเป็นยาระบายอย่างอ่อนไม่เสพติด, แก้ท้องผูก, ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้, ฆ่าเชื้อ, ต้านสารพิษบางชนิด, แก้ไอ แต่ถ้ากินมากจะทำให้อาเจียนได้ น้ำต้มจากกิ่งก้านและใบ กินเป็นยาขับปัสสาวะ น้ำยางจากใบและช่อดอกเป็นยาเสพติดคล้ายฝิ่น ใช้ในทางยาเป็นยาแก้ไข้, แก้ไอ, แก้หืดหอบ, ป้องกันการชักจากพิษบาดทะยัก, แก้ปวด ฯลฯ ช่อดอกเพศเมีย มีพิษ จัดเป็นสารเสพติดหรือพืชเสพติด เมื่อสูบมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ใช้รักษาโรคทางประสาทบางประเภท ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน ช่วยให้นอนหลับ, คลายความวิตกกังวล, ทำให้เกิดอาการมึนเมาเคลิบเคลิ้มและเป็นสุข
กัญชาเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้าขึ้นได้ง่ายในเขตร้อน ลำต้นสูงประมาณ 2-4 ฟุต ลักษณะใบจะแยกออกเป็นแฉกประมาณ 5-8 แฉกคล้ายใบมัน สำปะหลังที่ขอบใบทุกใบจะมีรอยหยักอยู่เป็นระยะๆ ออกดอกเป็นช่อเล็กๆ ตามง่ามของกิ่งและก้าน ส่วนที่คนนำมาเสพได้แก่ส่วนของกิ่ง ก้าน ใบ และยอดช่อดอกกัญชา โดยนำมาตากหรืออบแห้ง แล้วบดหรือหั่นให้เป็นผงหยาบๆ จากนั้นจึงนำมายัดไส้บุหรี่สูบ (แตกต่างจากบุหรี่ทั่วไปที่ไส้บุหรี่จะมีสีเขียว ต่างจากไส้ยาสูบที่มีสีน้ำตาล และขณะจุดสูบจะมีกลิ่นเหมือนหญ้าแห้งไหม้ไฟ) หรืออาจสูบด้วยกล้องหรือบ้องกัญชา บ้างก็ใช้เคี้ยวหรือผสมลงในอาหารรับประทาน ปัจจุบันรูปแบบของกัญชาที่พบ นอกจากจะพบในลักษณะของกัญชาสด กัญชาแห้งอัดเป็นแท่งเป็นก้อนแล้ว ยังอาจพบในรูปของ “น้ำมันกัญชา” (Hashish Oil) ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ได้จากการนำกัญชามาผ่านกระบวนการสกัดหลายๆ ครั้ง จึงได้เป็นนำมันกัญชาที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทสูงถึง 20-60% หรืออาจพบในลักษณะของ “ยางกัญชา” (Hashish) เป็นยางแห้งที่ได้จากใบ และยอดช่อดอกกัญชา ซึ่งโดยทั่วไปจะมีฤทธิ์แรงกว่ากัญชาสด และมีปริมาณสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ประมาณ 4-8%
กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ ที่ออกฤทธิ์หลายอย่างต่อระบบประสาทส่วนกลาง คือ ทั้งกระตุ้นประสาท กดและหลอนประสาท สารออกฤทธิ์ที่อยู่ในกัญชามีหลายชนิด แต่สารที่สำคัญที่สุดที่มีฤทธิ์ต่อสมองและทำให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป คือ เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol) หรือ THC ที่มีอยู่มากในส่วนของยอดช่อดอกกัญชา สาร THC นี้ในเบื้องต้นจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพตื่นเต้น ช่างพูด และหัวเราะตลอดเวลา ต่อมาจะกดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการคล้ายเมาเหล้าอย่างอ่อน ๆ เซื่องซึม และง่วงนอน หากเสพเข้าไปในปริมาณมากๆ จะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา หูแว่ว ความคิดสับสน ควบคุมตนเองไม่ได้
อาการผู้เสพ :

อารมณ์อ่อนไหวเปลี่ยนแปลง ความคิดเลื่อนลอยสับสน ความคุมตัวเองไม่ได้ ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อลีบ หัวใจเต้นเร็ว หูแว่ว
โทษที่ได้รับ :

หลายคนคิดว่าการเสพกัญชานั้น ไม่มีโทษภัยร้ายแรงมากนัก แต่จากการศึกษาวิจัย พบว่า กัญชาเป็นยาเสพติดอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพมากเกินกว่าที่คาดคิด อาทิเช่น
ทำลายสมรรถภาพทางกาย ผู้เสพกัญชาในปริมาณมาก ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม จนไม่สามารถประกอบกิจการงานใด ๆ ได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงาน ความคิด และการตัดสินใจ รวมทั้งจะมีลักษณะ Amotivation Syndrome คือ การหมดแรงจูงใจของชีวิต จะไม่คิดทำอะไรเลย อยากอยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และการทำงานเป็นอย่างมาก

ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การเสพติดกัญชามีผลร้าย คล้ายกับการติดเชื้อเอดส์ (HIV) กล่าวคือ กัญชาจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานเสื่อมลง หรือบกพร่อง ร่างกายจะอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย

ทำลายสมอง การเสพกัญชาแม้เพียงในระยะสั้น ทำให้ผู้เสพบางรายสูญเสียความทรงจำ เพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล และหากผู้เสพเป็นผู้มีอาการของโรคจิตเภท หรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติทั่วไป

ทำให้เกิดมะเร็งปอด เนื่องจากผู้เสพจะอัดควันกัญชาเข้าไปในปอดลึก นานหลายวินาที การสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาเพียง 4 มวน ซึ่งเท่ากับการสูบบุหรี่ 1 ซอง หรือ 20 มวนนั้น สามารถทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ได้มากกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดาถึง 5 เท่า และในกัญชายังมีสารเคมีที่เป็นอันตราย สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งได้

ทำร้ายทารกในครรภ์ กัญชาจะทำลายโครโมโซม ฉะนั้นหญิงที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ ทารกที่เกิดมาจะพิการ มีความผิดปกติทางร่างกาย เช่น ความผิดปกติของเซลส์ประสาทในสมอง ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศและพันธุกรรม

ทำลายความรู้สึกทางเพศ กัญชาจะทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในชายลดลง ทำให้ปริมาณอสุจิน้อยลง ทั้งยังพบว่า ผู้เสพติดกัญชามักกลายเป็นคนขาดสมรรถภาพทางเพศ

ทำลายสุขภาพจิต ฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้ผู้เสพมีอาการเลื่อนลอย ฝันเฟื่อง ความคิดสับสน และมีอาการประสาทหลอน จนควบคุมตนเองไม่ได้ ซึ่งถ้าเสพเป็นระยะเวลานาน จะทำให้มีอาการจิต
ที่มา  http://www.udomsuksa.ac.th/

ดอกไม้ประจำจังหวัดเชียงราย

เชียงราย

ชื่อดอกไม้ พวงแสด

ชื่อสามัญ Orange Trumpet, Flame Flower.

ชื่อวิทยาศาสตร์ Pyrostegia venusta., Miers.

วงศ์ BIGNONIACEAE

ชื่ออื่น

ลักษณะทั่วไป พวงแสดเป็นพันธุ์ไม้เถาเลื้อยที่มีขนาดใหญ่ สามารถเลื้อยเกาะได้ไกลมากกว่า 40 ฟุต เถาอ่อนสีเขียว เมื่อแก่จะกลายเป็นสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบ มี 3 ใบย่อย แต่จะมีบางใบที่เป็นคู่โดยใบย่อยที่สามที่อยู่ตรงกลางจะเปลี่ยนจากใบเป็นมือเกาะ ใบออกสลับกัน สีเขียวเข้ม ก้านใบสั้นเกือบชิดกิ่ง ใบรูปไข่ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบไม่มีจัก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ และตามปลายกิ่งส่วนยอดดอกดกจนดูแน่นช่อ มีกลีบรองดอกเป็นรูปถ้วย หรือรูปกระดิ่งหงาย ดอกเป็นรูปทรงกรวย เรียวยาว ปลายดอกจะบานออกเป็น 4 กลีบ เมื่อดอกบานเต็มที่กลีบดอกจะงอโค้งลงข้างล่าง ดอกยาวประมาณ 5 – 6 เซนติเมตร ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 4 อัน สั้นยาวไม่เท่ากัน สั้น 2 อัน และยาว 2 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน อยู่ตรงกลาง สีตองอ่อน และยาวกว่าเกสรตัวผู้ พวงแสดออกดอกช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม ของทุกปี

ขยายพันธุ์ ปักชำกิ่ง, ตอนกิ่ง

สภาพที่เหมาะสม ดินร่วน ไม่ต้องการน้ำมาก แสงแดดจัด

ถิ่นกำเนิด ประเทศบราชิลและอาเจนตินา

ที่มา  http://www.udomsuksa.ac.th/

ไม้มงคล ต้นไม้มงคล

ไม้มงคล ต้นไม้มงคล


ไม้มงคล ต้นไม้มงคล ความเชื่อเรื่อง ไม้มงคล ต้นไม้มงคล ดอกไม้มงคล มีเกือบทุกชนชาติ การปลูกต้นไม้มงคล ของไทยเราเองก็มีมาตั้งแต่โบราณ ต้นไม้มงคลที่ควรปลูกซึ่งความเชื่อมีมาตั้งแต่โบราณว่า ไม้มงคลบางชนิดมีเทวดาอารักษ์ ต้นไม้มงคลบางชนิดชื่อเป็นมงคลเสริมราศี วัตถุมงคลเสริมดวงชะตา ไม้มงคลประจำวันเกิด
ไม้มงคล ต้นไม้มงคล เสริมราศี
ต้นแก้ว เป็นไม้มงคลอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยม

ปลูกกันมาก เพราะดอกแก้วนั้นมักจะส่งกลิ่นหอมเย็น

อย่างน่าชื่นใจ มีคนรักดั่งแก้วตาดวงใจ
ต้นโกศล ต้นไม้มงคล ชื่อนั้นพ้องกับคำว่า กุศล จึงเชื่อว่า คือการสร้างบุญ คุณงามความดี

ช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจาก

สีสันสวยสดของใบ และคุณสมบัติที่ช่วยเสริม ความเป็นสิริมงคลให้กับบ้านอีกด้วย
ต้นกวนอิม เป็นไม้ยืนต้นที่มีชื่อใกล้เคียงกับเทพเจ้าที่ชาวจีน และชาวไทยให้ความเคารพบูชา

กันทั่วไป เชื่อกันว่าต้นกวนอิมเงิน กวนอิมทองนั้น เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

เพราะคนโบราณมักจะใช้ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้ มาประกอบในพิธีบูชาเทพเจ้า

เชื่อกันว่าเมื่อปลูกกวนอิมในบ้านจะเกิดเป็นสิริมงคล นำผลให้มีฐานะดี เกิดความร่ำรวย
ต้นกระดังงา ต้นไม้มงคล ที่นิยมปลูกกันด้วยชื่อที่เป็นมงคล คนโบราณเชื่อกันว่าการปลูกต้นกระดังงา

ทำให้คนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตา มีเงินทองลาภยศ

ควรปลูกต้นกระดังงา ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน

เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล แก่ตัวบ้านและครอบครัวที่อาศัย
ต้นมะยม เป็นต้นไม้มงคลอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก โดยเฉพาะการปลูกที่หน้าบ้านด้วยความเชื่อที่ว่า จะทำให้คนนิยมชมชอบ ไม่มีคนคิดร้ายหรือเป็นศัตรู
ดอกบานไม่รู้โรย ถือเป็นไม้ดอกที่ชื่อเป็รมงคลนามอยู่แล้วว่า บานไม่รู้โรย จะช่วยเสริม

ด้านความรักของผู้อยู่อาศัยและคู่รักให้ผูกพันมั่นคงต่อกัน
ดอกดาวเรือง เป็นดอกไม้มงคล ที่นิยมปลูกกันมากด้วยชื่อที่เป็นมงคลและสีเหลืองดั่งทอง

เสริมให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า มีเงินมีทอง
ต้นวาสนา ด้วยความเชื่อว่า ทำให้ผู้ปลูกมีโชคและวาสนาที่ดี เกิดความสุข สมหวัง

ถือเป็นไม้เสี่ยงทาย ถ้าสามารถปลูกได้สวยงามและออกดอก เชื่อว่าจะทำให้มีโชคลาภ

ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้ดังหวัง
ต้นกล้วยไม้ คนโบราณเชื่อว่า กล้วยไม้ จะทำให้เกิดความประทับใจแก่บุคคลทั่วไป

ทำให้คนในบ้านมีจริยธรรม เหมาะกับผู้ปลูกที่มีอุปนิสัยเยือกเย็นอ่อนโยน
ต้นพุด เชื่อกันว่าไม่ว่าจะเป็นต้นพุดชนิดใดจะส่งผลให้มีความเจริญ มั่นคง

แข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งสิ้น แต่ก็ควรให้เป็นพุดชนิดที่ดอกสีขาว
ต้นพญายอ มีความเชื่อกันว่าจะทำให้ดำเนินชีวิตราบรื่นเป็นสุขสมบูรณ์
ต้นจำปา ถือเป็นต้นไม้มงคลที่จะนำโชค และเหมาะสมกับคนเกิดวันอาทิตย์อย่างยิ่ง
ต้นชบา ถือเป็นต้นไม้มงคลด้วยความเชื่ออว่าให้คุณด้านการงานเจริญก้าวหน้าไร้ปัญหาและอุปสรรค
ต้นราชพฤกษ์หรือคูน เป็นต้นไม้มงคลด้วยดอกที่เป็นพวงระย้าสวยงาม

และมีดอกสีเหลืองตัดกับสีของท้องฟ้าในฤดูร้อน จะทำให้บ้านดูสดใส

และยังมีความเป็นมงคลทางด้านช่วยให้มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี
ต้นโป๊ยเซียน พรรณไม้มงคล จะเป็นพันธุ์ใดก็ได้แต่จะต้องมีดอกสีเหลือง

หรือสีส้ม และจะเป็นมงคลอย่างยิ่งหากเป็นสีส้มหรือสีเหลืองในดอกเดียวกัน

โป๊ยเซียนไม้แห่งโชคลาภจะนำโชคลาภมาให้กับผู้ปลูก

ต้นเข็ม เป็นต้นไม้มงคลควรปลูกต้นเข็มไว้ในบริเวณบ้านเชื่อว่าจะทำให้สมองปลอดโปร่ง

เกิดความคิดความอ่านที่ดี ความคิดเฉียบขาด ให้คุณโดยทั่วไปด้วย
ต้นมะลิ เชื่อกันว่าเป็นไม้มงคลที่สูงค่าจึงนิยมใช้บูชาพระ สีขาวอันบริสุทธิ์ และกลิ่นหอมเย็น

ไม่ว่าจะเป็นมะละซ้อนหรือมะลิลา ก็เป็นสิริมงคลทางด้านทำให้คนในบ้านมีความบริสุทธิ์

มีความรักและความคิดถึงแก่บุคคลทั่วไป

การปลูกต้นไม้มงคล ต้นไม้ที่ควรปลูก ถือเป็นต้นไม้มงคลตามทิศต่างๆ
ทิศตะวันออก ควรปลูกไม้ไผ่กอ และต้นมะพร้าว ถือเป็นต้นไม้มงคลประจำทิศ

ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ควรปลูกต้นยอและต้นสารภี ถือเป็นต้นไม้มงคลประจำทิศ

ทิศใต้ เชื่อว่าควรปลูก ต้นมะม่วง และต้นมะพลับ

ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เชื่อกันว่าควรปลูก ต้นสะเดา ต้นขนุน และต้นพิกุล

ทิศตะวันตก เชื่อกันว่าควรปลูก ต้นมะขาม ต้นมะยม

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เชื่อกันมาว่าควรปลูก ต้นมะกรูด

ทิศเหนือ เชื่อกันว่าควรปลูกพุทรา และหัวว่านต่างๆ ถือเป็นต้นไม้ประจำทิศ

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อกันว่าควรปลูก ต้นทุเรียน ถือเป็นต้นไม้ประจำทิศ

การปลูกต้นไม้มงคล ปลูกไม้มงคลที่เป็นมงคลประจำปีเกิด
เกิดปีชวด มิ่งขวัญเสริมดวงอยู่ที่ต้นกล้วยและต้นมะพร้าว ถือเป็นต้นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีฉลู มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นตาล ช่วยส่งเสริมให้ดีขึ้น ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีขาล มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นขนุนและต้นรัง ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีเถาะ มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นมะพร้าวและต้นงิ้ว ถือเป็นต้นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีมะโรง มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่ ต้นกัลปพฤกษ์ และต้นงิ้ว ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีมะเส็ง มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่และต้นรัง ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีมะเมีย มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นต้นกล้วยและต้นตะเคียน ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีมะแม มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่ ต้นปาริชาติ และต้นทองหลาง ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีวอก มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่ ต้นยาง และต้นฝ้าย ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีระกา มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นไผ่ ต้นยาง และต้นฝ้าย ถือเป็นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีจอ มิ่งขวัญอยู่ที่ต้นบัวบก และต้นสำโรง ถือเป็นต้นไม้มงคลประจำปีเกิด

เกิดปีกุน มิ่งขวัญอยู่ที่กอบัวหลวง และต้นบัวบก ถือเป็นต้นไม้มงคลประจำปีเกิด

 ที่มา  tumsrivichai[AT]yahoo.com ,webmaster[AT]tumsrivichai.com

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อบประคบสมุนไพรคลายหนาว

หนาวแค่ไหนก็ไม่กลัว ถ้าท่านรู้จักใช้แพทย์แผนไทยได้ถูกวิธี!

ฤดูหนาวผ่านเข้ามา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติทำให้ร่างกายเราต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย ถ้าร่างกายเราไม่สามารถปรับตัวได้แล้วก็มักจะเกิดโรคภัยในฤดูหนาวตามมา ได้แก่ เป็นไข้ เป็นหวัด ไอ เจ็บคอ ผิวแห้ง คันตามผิวหนัง ผู้สูงอายุอาจจะมีอาการปวดตามข้อ ชาตามมือ ปลายเท้ามากขึ้น
แพทย์แผนไทยช่วยท่านได้อย่างไรในฤดูหนาว ?

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว หลักในการดูแลสุขภาพ โดยทั่วไป คือ ต้องดูแลให้ร่างกายได้รับความอบอุ่น ตั้งแต่การรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม การทำความสะอาดร่างกายตลอดจนการส่งเสริมสุขภาพอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย
1. การรับประทานอาหาร ในฤดูหนาว ท่านควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนปรุงเสร็จใหม่ๆ มีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อยและรสเผ็ด ได้แก่ แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน และน้ำพริก เป็นต้น
ด้วยธรรมชาติที่ปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ผักพื้นบ้านและพืชสมุนไพร ในฤดูต่างๆ ก็เปลี่ยนไป ในฤดูหนาวมักจะมี สะเดา ซึ่งมีรสขมเมื่อกินแล้วช่วยแก้ไข้ เจริญอาหาร ขี้เหล็กช่วยระบาย ดอกแค แก้ไข้หัวลม เป็นต้น ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารและผักพื้นบ้านที่มีอยู่ตามฤดูกาล ที่ธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงมาให้กับมนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ จะเป็นทางหนึ่งให้มนุษย์ได้เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับชีวิตเพื่อความอยู่รอด ส่วนการเลือกเครื่องดื่ม ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ช่วยให้เสมหะอ่อนขับตัวออกได้ง่าย ป้องกันการเป็นหวัดได้อีกทางหนึ่ง
2. การทำความสะอาดร่างกาย ด้วยอากาศที่หนาวเย็น การอาบน้ำควรเป็นน้ำอุ่น เสื้อผ้าที่สวมใส่ควรเป็นเสื้อผ้าที่หนา การอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศลดลง จะทำให้ผิวแห้งแตกและคัน ดังนั้นการดูแลผิวพรรณในฤดูหนาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งสมุนไพรที่ใช้ดูแลผิวพรรณ ได้แก่ น้ำมันงา ขมิ้นชัน ผิวมะนาวและผิวมะกรูด เป็นต้น

น้ำมันงา โดยนำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด ทาผิวเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน

ขมิ้นชัน มีสรรพคุณลดอาการคัน และช่วยเกิดอาการผดผื่นตามผิวหนัง โดยนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้ทาผิว หลังอาบน้ำ เช้า?เย็น

ข้อควรระวัง สีขมิ้นจะติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ ซักออกลำบาก
ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิวให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้น้ำมะนาวแล้ว นำบริเวณผิวด้านนอกทาผิวบริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น
การอาบสมุนไพร

การอาบน้ำอุ่นช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ในฤดูหนาวมักจะเป็นหวัด คัดจมูก คันตามผิวหนัง การนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน ช่วยให้หายใจโล่งมาต้มอาบแทนอาบน้ำเปล่า โดยใช้สมุนไพรที่หาง่ายมีใช้ในครัวเรือน ดังต่อไปนี้
ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน
ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย
ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กำมือ แก้อาการคันตามร่างกายช่วยให้ผิวหนังสะอาด
ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ แต่งกลิ่น
หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม
ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุงแก้โรคผิวหนัง น้ำเหลืองเสีย
หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว สมานแผล แก้คันตามผิวหนัง
การบูร จำนวน 15 กรัม แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ
หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัว แก้หวัดคัดจมูก
นำสมุนไพรมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่นอาบ จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยหายใจโล่ง สบายตัว สมุนไพรดังกล่าวข้างต้น ยังสามารถนำมาเป็นสมุนไพรสำหรับอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพได้อีกทางหนึ่ง การอบสมุนไพรทำได้ 2 กรณี คือ

กรณีอบสมุนไพรเองที่บ้าน

1. มีตู้อบสมุนไพรสำเร็จรูป ใช้สมุนไพรใส่หม้อต้มน้ำหรือหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแล้วใช้ไอน้ำอบสมุนไพร ซึ่งในตู้อบสำเร็จรูปจะมีที่สำหรับให้ไอน้ำผ่านได้ดี และมีการระบายอากาศด้านบน (ศรีษะ)

2. ถ้าไม่มีตู้อบสมุนไพร จะใช้เป็นกระโจม โดยหาวัสดุที่มีอยู่มาดัดแปลงแล้วใช้ผ้าคลุม โดยมีที่ระบายอากาศ ใช้หม้อต้มที่สำหรับให้ไอน้ำเข้าสู่กระโจมอย่างทั่วถึงและระมัดระวัง เรื่องน้ำร้อนลวก และระบบไฟฟ้า
การอบสมุนไพรในห้องอบสมุนไพรมาตรฐาน ปัจจุบันมีโรงพยาบาลของรัฐจำนวน 40 แห่ง มีคลินิกแพทย์แผนไทยและมีห้องอบสมุนไพร
มาตรฐานของห้องอบสมุนไพร

1. ขนาดห้อง กว้าง 1.9 เมตร ยาว 1.9 เมตร สูง 2.3 เมตร สามารถอบได้ครั้งละ 3-4 คน

2. พื้นและฝาผนัง ควรเป็นพื้นปูนขัดหน้าเรียบ ช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาด

3. ประตูห้องควรปิดมิดชิด แต่ไม่มีการล็อคกลอนจากข้างใน อาจเจาะเป็นช่องกระจก ที่สามารถมองจากภายนอกเห็นภายในห้องได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลสามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้

4. ควรมีห้องอบที่แยกให้บริการ สำหรับเพศหญิงและเพศชาย

5. อุปกรณ์สำหรับการอบสมุนไพรประกอบด้วย

- ม้านั่งยาว 1-2 ตัว

- เทอร์โมมิเตอร์ สำหรับวัดอุณหภูมิภายในห้องอบ อุณหภูมิระหว่างอบควรอยู่ระหว่าง 42-45 องศา สามารถตรวจสอบอุณหภูมิได้ที่ภายนอกห้อง

- นาฬิกาจับเวลา สามารถตั้งเวลาได้

- เครื่องชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต ปรอทวัดไข้

- หม้อต้มน้ำไฟฟ้า ที่มีซึ้งตะแกรงเติมและเปลี่ยนถ่ายสมุนไพรได้สะดวก

- พัดลมดูดอากาศ

- หม้ออบสมุนไพร เป็นหม้อไฟฟ้า มีระบบควบคุมความปลอดภัย มีท่อสแตนเลสจากหม้อต้มส่งไปในห้องอบ และมีระบบควบคุมป้องกันไฟฟ้า ซึ่งมีระบบควบคุมไฟหม้อต้มที่สามารถอุ่นได้ เมื่อรอการใช้และปิดเปิดไฟอัตโนมัติ
ขั้นตอนการอบสมุนไพรในสถานบริการสาธารณสุขจะต้องซักประวัติโดยละเอียด ตรวจร่างกาย ชั่งน้ำหนัก วัดความดันและวัดไข้ก่อน โดยแพทย์แผนโบราณแบบประยุกต์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลหรือผู้ประกอบโรคศิลปะ เมื่อตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่จะอบสมุนไพรต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด สวมเสื้อที่เตรียมไว้ให้ เวลาในการอบสมุนไพรครั้งแรกควรจะเริ่มจาก 30 นาที 2 ครั้งๆ ละ 15 นาที ขณะที่นั่งพักควรดื่มน้ำเปล่า (ไม่เย็น) หรือดื่มนม 1 แก้ว หลังจากอบสมุนไพรครบตามเวลา ควรนั่งพักจนกว่าเหงื่อจะแห้ง เพื่อให้ร่างกายปรับอุณหภูมิก่อนแล้วค่อยอาบน้ำ ควรอบสมุนไพรวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
ข้อห้ามในการอบสมุนไพร
มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทุกชนิด
มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคไต โรคหัวใจ โรคลมชัก โรคหอบหืดรุนแรง
สตรีมีประจำเดือน รวมกับมีไข้ ปวดศรีษะ
มีอาการอักเสบจากบาดแผล
อ่อนเพลีย (อดนอน อดอาหาร หรือหลังรับประทานอาหารใหม่)
ปวดศรีษะ เวียนศรีษะ คลื่นไส้
ในกรณีที่มีอาการปวดเฉพาะที่ เช่น ปวดตามข้อมือ ข้อเท้า ปวดตามกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ในฤดูหนาวจะมีอาการปวดมากขึ้น การอบสมุนไพรอาจจะไม่ได้ผลมากนัก ควรใช้การประคบสมุนไพร บริเวณที่ปวดซึ่งสามารถทำได้เอง โดยใช้สมุนไพรที่คล้ายกับการอบสมุนไพร ได้แก่
เหง้าไพล 1/2 กิโลกรัม
ผิวมะกรูด 10 ลูก
ตะไคร้บ้าน 1/2 กิโลกรัม
ใบมะขาม 1 ขีด
ขมิ้นอ้อย 1/2 กิโลกรัม
ว่านนางคำ 1/2 กิโลกรัม
ใบส้มป่อย 1/2 กิโลกรัม
เกลือแกง 60 กรัม
การบูร 60 กรัม
นำสมุนไพรมาโขลกหยาบๆ รวมกัน แบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน ห่อด้วยผ้าขาวดิบ จะได้ลูกประคบ 2 ลูก และนำมานึ่งให้ร้อน นำมาประคบบริเวณที่ปวดสลับกัน 2 ลูก เมื่อใช้แล้วให้ผึ่งแดดให้แห้ง ใส่กล่องมิดชิดเก็บไว้ในตู้เย็นใช้ได้ 5-7 วัน สังเกตสีของสมุนไพร ถ้าสีซีดแสดงว่าสมุนไพรมีสารสำคัญลดลง ถ้ามีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวควรทิ้งไป
ข้อควรระวัง

ในการประคบสมุนไพร ในผู้สูงอายุหรือเด็กควรจะระวังเรื่องความร้อน ควรทดสอบความร้อนบริเวณผิวหนังที่หลังมือ ถ้าร้อนมากให้ใช้ผ้ารองก่อน ขณะประคบควรสังเกตสีของผิวหนัง ถ้าแดงมากแสดงว่าความร้อนสูง อาจจะพุพองได้ ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า ควรใช้ลูกประคบด้วยความระมั

ที่มา  www.halalthailand.com

ความเสี่ยงของมะเร็งในช่องปาก

ในช่องปากมีอวัยวะสำคัญหลายส่วน เหงือก ฟัน ลิ้น เพดานบน กระพุ้งแก้ม ฐานของลิ้น ริมฝีปาก หากมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณเหล่านี้ คุณต้องระวัง ! ส่วนใหญ่มะเร็งช่องปาก คุณสามารถป้องกันได้ ถ้าหากให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงต่างๆ และอย่าใกล้ชิดมัน

อะไรบ้างที่เป็นความเสี่ยง ?
บุหรี่ นอกจากมีผลทำให้เกิดมะเร็งปอดถึง 87% แล้ว บุหรี่มีผลทำให้เกิดมะเร็งในหลอดลม ลำคอ และมะเร็งช่องปากด้วย 90% ของมะเร็งในช่องปากพบในคนสูบบุหรี่ ซึ่งคนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนไม่สูบถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังรวมถึงคนที่สูบซิการ์ pipe การเคี้ยวยาเส้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากบุหรี่ สารเคมีที่มีอยู่ในยาเส้น เป็นสารก่อมะเร็งทำให้เกิดมะเร็งบริเวณแก้ม ริมฝีปาก เหงือก ส่วนคนไม่สูบบุหรี่เลย แต่ใกล้ชิดควันของคนที่สูบบุหรี่ อยู่ในสถานที่มีควันบุหรี่มากๆ แล้วสูดเอาควันบุหรี่เหล่านั้น ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งได้เช่นกัน
แอลกอฮอล์ ดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ มีโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งในช่องปาก 75-80% มะเร็งช่องปากเกิดขึ้นในคนที่ดื่มจัด และมีโอกาสเป็นมะเร็งมากถึง 6 เท่าของคนที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าทั้งดื่มจัด สูบบุหรี่มาก ความเสี่ยงต่อมะเร็งช่องปากจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ
แสงอัลตร้าไวโอเลต พบว่า 30% ของคนที่เป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก เกิดในคนที่มีอาชีพกลางแจ้ง ถูกแสงแดดประจำ วิธีที่จะลดความเสี่ยงคือให้ทา lip palm ที่มีสารป้องกันรังสียูวี หรือใส่หมวกกันแดดโดนริมฝีปากและผิวหนัง
มีสิ่งระคายเคืองในช่องปากอยู่เสมอ เช่น

- ฟันปลอมที่หลวม ใส่แล้วมีแผลในช่องปาก เป็นเวลานานๆ ไม่หาย

- มีฟันผุ คม บาดลิ้น เวลาเคี้ยวอาหาร หรือพูด

- ฟันปลอมที่แตกหักแล้วขูดช่องปากอยู่เสมอ
อาหาร ที่มีไขมันสูง เนื้อแดง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง หากเราได้รับประทานผัก ผลไม้ที่มีกากใยมากๆ ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นกัน
อายุ มะเร็งในช่องปาก มีสถิติพบมากในคนอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอายุ 35 ปีขึ้นไป
เพศ มะเร็งช่องปากพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า น่าจะมีเหตุผลจากผู้ชายดื่มและสูบบุหรี่มากกว่าคุณผู้หญิง

หากมีสิ่งผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้รีบปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์ประจำตัวทันที

-มีสีที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนในช่องปาก เช่น มีสีแดงจัด ฝ้าขาวตามกระพุ้งแก้ม
-มีลักษณะเนื้อหนาตัวขึ้น หรือมีผิวหยาบๆ
-เป็นแผลในช่องปาก เลือดไหลง่าย
-พูด กลืน ขยับลิ้นลำบาก
-มีกลิ่นปาก
-ฟันโยก เก ขากรรไกรบวม
เป็นแผลในช่องปากเป็นเวลานานๆ ไม่หาย นอกจากในช่องปาก อาการภายนอกที่ร่วมกับมะเร็งที่น่าสังเกต คือ น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ มีก้อนคลำได้บริเวณลำคอ
มะเร็งในช่องปากนั้นหากพบในระยะเริ่มต้นจะรักษาไม่ยุ่งยากและประสบความสำเร็จสูง แต่หากคุณเลี่ยงไม่นำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในช่องปากได้ การพบทันตแพทย์ตรวจสุขภาพในช่องปากเป็นประจำจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เฉพาะเรื่องฟัน และเหงือกเท่านั้น แต่ทันตแพทย์เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับอวัยวะส่วนนี้ สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ง่าย เพื่อรู้ก่อนและสามารถป้องกันได้ก่อน
ที่มา  www.halalthailand.com

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

สำหรับแม่.....น้อยกว่านี้ได้ยังไง

แม่คือผูที่ให้กำเนิดเรา และเลี้ยงดูเราจนเติบใหญ่...
ให้การศึกษา....ให้การอบรมสั่งสอนในทุก ๆ อย่าง...
   การที่เราจะทำอะไรเพื่อแม่สักอย่าง........
จะต้องทำจากใจ   ทำสุดความสามารถและยิ่งใหญ่ที่สุด.....
ให้สมกับที่แม่ทำให้เรา...............(ฉันรัก...แม่...)

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

คำกล่าวของ(ขงเบ้ง)

1. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
2. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาสเพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วยดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
3. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
4. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
5. ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
6. ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
7. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
8. ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
9. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิดเดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
10. เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
11. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
12. ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
13. ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
14. ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
15. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
16. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
17. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
18. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูตเพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)
19. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
20. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
21. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี.
22. สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ
23. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
24. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การทำงานของคอมพิวเตอร์

1.คอมพิวเตอร์เริ่มมีการประสานการทำงานตั้งแต่ขั้นตอนใด
ตอบ เปิดเครื่อง

2.คอมพิวเตอร์แบ่งการทำงานได้เป็นกี่แบบ อะไรบ้าง

ตอบ 4แบบ ได้แก่ รับคำสั่ง เก็บข้อมูล ประมวณผล แสดงผลลัพธ์ออมาให้เห็น


3.หน้าที่ของการแสดงผลลัพธ์ (output device) คืออะไร และยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่าง

ตอบ การแสดงผลลัพธ์ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ออกมา เช่น แสดงบนจอภาพหรือพิมพ์สู่กระดาษ


4.Ram คืออะไร (อธิบายมาพอสังเขป)

ตอบ คือหน่วยความจำภายในตัวเครื่องข้อมูลจะถูกส่งผ่านมายัง Ram เสืยก่อนแล้วจึงส่งตอไปให้ CPU

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

LoOk At Meeee...!!

เราชื่อ... วิภาวรรณ สมบูรณ์ ชื่อเล่น BeBe เพศ หญิง อายุ 14 ปี
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 เลขที่ 22
โรงเรียน อาเวมารีอา จ. อุบลราชธานี
คนที่แนะนำเราให้ทำ คือ... คุณครูวีระชน ไพสาทย์ <ครูติ๊ก>
ใช้เวลาในการสร้าง 35 นาที
ในขณะที่ทำไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่ แต่กว่าจะเข้ามาได้ก็เกือบกระอักเลือดเหมือนกัน ที่ทำสิ่งนี้ขึ้นมันอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนอื่นๆ ได้รู้จักกับเรา BeBe อนาคตเราอยากจะเป็นเภสัช