คุณค่าของชีวิต
หลายคนอาจไม่เคยคิด เพราะไม่ยอมคิด หรือไม่ใส่ใจที่จะคิด ขณะเดียวกันก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความฉงนสงสัย แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักที และก็มีคนบางคน ทราบคำตอบนั้นก็ต่อเมื่อได้สูญเสีย หรือพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรักไป คำถามที่ยังหาคำตอบให้แก่ตัวเองไม่ได้ (อีกหลายคน) ก็คือ “คนเราเกิดมาทำไม และเกิดมาเพื่ออะไร?” คุณเคยถามคำถามนี้กับตัวเองบ้างหรือยังครับ ถ้ายัง ผมแน่ะนำให้คุณรีบถามตัวเองซะตั้งแต่วันนี้ ในวันที่คุณยังมีโอกาส! ชีวิตที่คุณเหลืออยู่ จะอยู่อย่างมีคุณค่า และมีความหมาย
สำหรับคนที่เคยถามคำถามนี้กับตัวเองแล้ว คำตอบที่ได้อาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองชีวิตของแต่ละคน สำหรับผมได้คำตอบของคำถามนี้ ในมุมมองของชีวิตของผมแล้วครับ
ผมเคยได้ยินคำกล่าวที่แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่ก็มีความหมายแฝงที่มีความลึกซึ้งมาก ผมมักจะนำไปใช้เสมอเมื่อรู้สึกไม่เห็นคุณค่า หรือทำไม่ดีต่อสิ่งใดก็ตาม ประโยคนั้นก็คือ “เวลาที่มีค่ามากที่สุดคือเวลาที่เหลือน้อยที่สุดดังนั้นคุณต้องใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีคุณค่า” หรือ “คุณจะเห็นคุณค่าของการมีสุขภาพดี ก็ต่อเมื่อคุณเจ็บป่วยจนไม่สามารถที่จะรักษาได้แล้ว”
สิ่งที่ผมจะเล่าให้คุณได้รับรู้ในเรื่องต่อไปนี้ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ที่ทำให้ผมมีความเข้าใจในตนเอง และได้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น เพราะผมเกือบที่จะสูญเสียมันไป…
ชีวิตของคนกรุงเทพเป็นชีวิตที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ปากกันตีนถีบ เพื่อให้ตัวเอง และครอบครัวมีชีวิตรอดในแต่ละวัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ มาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ชีวิตก็สาละวนในการทำมาหาเลี้ยงชีพ เลี้ยงปากท้องตนเอง และครอบครัว เป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มขั้น ตลอดระยะเวลา ผมอยู่ที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้าน โดยให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าเพื่อจะได้มีอนาคตที่ดีขึ้น เมื่อผลงานดี ผู้บังคับบัญชาก็ย่อมจะพอใจ เมื่อผู้บังคับพอใจก็อาจจะได้รับการปรับค่าจ้างให้สูงขึ้น ตัวผมและครอบครัวก็จะได้มีความสุขมากขึ้น? นอกจากทำงานประจำแล้วผมก็ยังทำอาชีพค้าขาย เป็นอาชีพเสริม เพื่อที่จะมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ทุกๆ วัน ผมจะต้องตื่นตี 3 เพื่อมาเตรียมสิ่งที่จะขาย พอได้เวลาก็นำไปขายที่ตลาดในตอนเช้า หลังจากขายเสร็จก็ต้องรีบไปทำงานให้ทันเวลา 8 โมงเช้า กว่าจะเลิกงานก็ประมาณ 6 โมงเย็น หรือไม่ก็ 2 ทุ่ม บ้างครั้งถ้ามีงานมากก็เลิกงานถึง 4 ทุ่ม หลังเลิกงานก็ยังหอบงานกลับมาทำที่บ้านอีก ขณะเดียวกันต้องจัดเตรียมอุปกรณ์การขายให้พร้อม เพื่อที่จะได้ร่นเวลาให้เร็วขึ้นในตอนเช้า กว่าจะเข้านอนได้ก็เกือบเที่ยงคืน ผมใช้ชีวิตอย่างนี้เป็นประจำทุกวันจนบางครั้งรู้สึกท้อ และเครียดมาก ครอบครัวก็ไม่มีความสุขไปด้วย แต่ก็ใช้วิธีปลอบใจกับตัวเองเสมอว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น ต้องอดทน เพื่อจะได้มีอนาคตที่ดี
สิ่งที่ทำให้มุมมองชีวิตของผมเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในชีวิตของผม เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังเดินตรวจงานกับหัวหน้า อยู่ๆ ผมก็วูบไปโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกที ตัวเองล้มไปพิงที่สินค้าที่วางอยู่บนพาเลท ซึ่งถ้าไม่มีสินค้าวางอยู่ ผมคงล้มหัวฟาดพื้นแน่ๆ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก อีกทั้งเป็นคนค่อนข้างมีนิสัยดื่อรั้นไม่ค่อยจะฟังใคร คิดว่า พักผ่อนเดี๋ยวก็คงหาย จึงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งวันหนึ่งขณะที่กำลังขับรถไปทำงานในตอนเช้า ในขณะนั้นผมรู้สึกง่วงมาก พยายามที่จะสลัดความง่วงของตัวเองโดยใช้วิธีเช่นเคย เช่น หยิกตัวเองบ้าง ร้องเพลงดังๆ ในรถบ้าง แต่วันนี้มันไม่ได้ผล ขณะที่รถติดไฟแดงที่สี่แยกแห่งหนึ่ง และเป็นช่วงที่รถกำลังเคลื่อนตัว ด้วยความรีบเร่งของผมที่ต้องการจะไปทำงานให้ทันเวลา จึงได้ขับรถพุ่งไปเพื่อให้พ้นสี่แยก บังเอิญว่ารถคันที่อยู่ข้างหน้าเบรกกะทันหัน เนื่องจากมีรถจักรยานยนต์ตัดหน้า ทำให้รถที่ผมขับพุ่งชนด้านหลังฝั่งขวาของรถคันหน้าอย่างแรง ด้วยความที่ขาดสติ แทนที่จะเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ แต่ไปเหยียบคันเร่งแทน ทำให้รถพุ่งไปทางด้านข้าง แต่ด้วยแรงปะทะ และความเสียหายของตัวรถทำให้รถเคลื่อนตัวไปได้ไม่ไกลมากนัก และสามารถหยุดเองได้ โชคดีที่ผมไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น ขณะเดียวกันนับว่าโชคดีที่สุดในชีวิตก็คือ รถผมไม่พุ่งไปชนกับรถยนต์ หรือ รถจักรยานยนต์คันอื่น หากเป็นเช่นนั้นอาจทำให้เกิดการสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของผู้ที่ไม่รู้เรื่องด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต.
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมได้มานั่งคิดทบทวน และพิจารณาตัวเองว่า ผมจะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองดี ผมควรจะทำอะไรต่อไป คำถามมากหมายผุดขึ้นในหัวของผม... ผมใช้เวลาเกือบสัปดาห์คิดหาคำตอบให้กับตัวเอง ในช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่ผมได้มีและให้เวลากับตัวเอง ในขณะที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีเวลาให้กับตัวเองเลยแม้สักวันเดียว มีแต่คำว่า “งาน” และ “เงิน” ผมเฝ้าคิดตลอดเวลาว่า ถ้าวันนั้นเกิดเหตุรุนแรง ทำให้ผมต้องพิการ หรือเสียชีวิตไป หรือทำให้คนอื่นเสียชีวิต ครอบครัวผมจะอยู่อย่างไร? เงินที่ผมหามาได้จะช่วยผมและครอบครัวได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ? ทำไมสิ่งนี้ต้องมาเกิดขึ้นในชีวิตของผม? ผมเกิดมาทำไม และเกิดมาเพื่ออะไร? และสิ่งใดที่จะทำให้ชีวิตของผม และครอบครัวมีความสุขได้ “เงิน” คือคำตอบของทุกสิ่งใช่หรือไม่? เป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ในขณะนั้น ท้ายที่สุดผมก็ได้รับคำตอบของคำถาม ในเช้าของวันหนึ่ง...
“คุณค่าของชีวิต” ในมุมมองของผม ผมมองว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้ และทำชีวิตให้มีคุณค่า แล้วคุณค่าของชีวิตคืออะไร สำหรับผมคิดว่า ชีวิตจะมีคุณค่าได้ต้องประกอบไปด้วยสิ่งที่มีค่าอย่างน้อย 2 สิ่ง
สิ่งแรก คุณค่าของชีวิต คือ การทำชีวิตให้ถึงพร้อม ด้วยการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อันประกอบด้วย “การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส”
โดยพื้นฐานของชีวิต คุณต้องทำในสิ่งที่ดีทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น แล้วสิ่งที่ดีล่ะคืออะไร สิ่งที่ดีในความคิดของผม คือ สิ่งที่ทำแล้วคุณมีความสุข ทำแล้วไม่ทำให้ตนเอง และผู้อื่นต้องเดือดร้อนจากการกระทำของตัวคุณ ทำแล้วไม่ต้องหวังว่าใครจะเห็น หรือชมในสิ่งที่คุณทำ นั้นคือ“ความดี” แต่การทำความดีเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ คุณควรที่จะละเว้นการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีด้วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามเพื่อส่งเสริมให้คุณคิด และทำในสิ่งที่ดีให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น นอกเหนือจากนั้นการฝึกฝนจิตใจของคุณให้มีความสุข สงบ และต้องทำให้จิตใจมีความสูงเหนือความคิดแบบโลกๆ ทั่วไป คือ การมองให้เห็นถึงแก่นของชีวิต ให้เห็นความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงลูบคลำแต่เปลือก ทำจิตใจให้เห็นโลกอย่างที่มันเป็น และจงมีความสุขกับมัน เช่น
“ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการได้รับการยกย่อง หรือได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างในสิ่งที่คุณทำเท่านั้นแต่ความสุข ขึ้นอยู่กับความภูมิใจ และมีความสุขในสิ่งที่คุณได้ทำให้แก่คนรอบข้างโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน” หรือ
“ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีทรัพย์สินที่มากมายเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณพอใจกับสิ่งที่คุณมีอยู่ แล้วหรือยัง ถ้าคุณพอ คุณก็ไม่ต้องดิ้นรนจนทำให้ตัวเองต้องมีความทุกข์จากความไม่พอนั้น” หรือ
“ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่คุณสำเร็จการศึกษาที่สูงกว่าคนอื่น แล้วคุยเบ่ง แต่ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มา สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นที่ด้อยกว่า ทำให้เขาเหล่านั้นมีความสุขได้อย่างไร”
นี้เป็นความคิดเพียงบางส่วน ในหลายความคิดที่จะทำให้คุณเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น
สิ่งที่สอง คุณค่าของชีวิต คือ การให้ และสิ่งที่คุณควรจะให้เป็นอันดับแรกก็คือ “ตัวคุณ”
คุณจงให้คุณค่าของการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ให้เกิดความสมดุล และเป็นสุข ไม่ว่าจะเป็นด้านอาชีพ การงาน สุขภาพ ครอบครัว ฯลฯ ชีพ กดุล ไม่ว่าจะเป้มี แเช่น
- คุณต้องมีความพอดีต่อการใช้ชีวิต ไม่ตึง หรือ หย่อนจนเกินไป
- คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขในสิ่งที่คุณมี และรู้จักแบ่งปัน ไม่ใช่รับ หรือเอามาเป็นของตนเองตลอดเวลา
- คุณต้องให้คุณค่าในดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง เมื่อคุณมีสุขภาพที่ดี คุณย่อมจะสามารถทำสิ่งที่คุณฝันหรือปรารถนาได้ เพราะ สุขภาพจิตจะดีได้ เมื่ออยู่ในร่างกายที่แข็งแรง
- คุณต้องให้คุณค่าต่อชีวิต ด้วยความมีสติในทุกเรื่องที่คุณกำลังทำ จงใช้สติ อย่าใช้ความอยาก นำชีวิต เพราะถ้าคุณใช้ความอยากเป็นเข็มทิศนำชีวิตของคุณแล้ว คุณจะไม่มีวันพอ เมื่อคุณไม่พอ คุณก็จะไม่มีความสุข
สำหรับการให้ที่สูงขึ้นไปอีก เราเรียกว่า “จาคะ” คือการสละสิ่งของ หรือความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น สิ่งนี้ถือเป็นการให้สูงสุด ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้ในขณะนี้ และเป็นสิ่งที่ผมให้ความเคารพบูชาอย่างสูงสุดในชีวิต สำหรับการเป็นคนไทยคนหนึ่งในผืนแผ่นดินไทย ก็คือ พระจริยาวัตรอันดีงาม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงปฏิบัติต่อปวงชาชนชาวไทยทุกคน... แม้จะลำบากพระวรกายอย่างไร ก็ทรงไม่เคยท้อ ทรงทำเพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความสุข ดังพระราชดำรัชตอนหนึ่งว่า “ความทุกข์ของประชาชน คือความทุกข์ของพระองค์ เมื่อประชาชนมีความสุข พระองค์ก็มีความสุขด้วย” สำหรับผมไม่มีตัวอย่างใดที่ดีที่สุดกว่านี้แล้ว ผมคิดว่าคุณก็คงจะคิดเหมือนผมเช่นกัน
ทุกวันนี้ผมเริ่มใช้ชีวิตอย่างมีสติ และมีคุณค่ามากขึ้น ทำอย่างพอดีไม่เกินกำลังของตนเอง ทุกครั้งที่จะทำอะไร ผมมักจะถามตัวเองก่อนเสมอ ผมทำสิ่งนั้นไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วผม และครอบครัวจะมีความสุขไหม ใครจะเดือดร้อนจากสิ่งที่ผมทำหรือไม่ ผมจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา เมื่อทำแล้วผลที่เกิดขึ้นกับผม และครอบครัว เราสามารถรับกับผลของการกระทำนั้นได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด ผมก็จะไม่ทำมัน...
แล้วคุณละเห็นคุณค่าของชีวิต ของตัวคุณเองแล้วหรือยัง ?
ที่มา http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104454&Ntype=7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น