วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คุณค่าของชีวิต

คุณค่าของชีวิต


หลายคนอาจไม่เคยคิด เพราะไม่ยอมคิด หรือไม่ใส่ใจที่จะคิด ขณะเดียวกันก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความฉงนสงสัย แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักที และก็มีคนบางคน ทราบคำตอบนั้นก็ต่อเมื่อได้สูญเสีย หรือพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรักไป คำถามที่ยังหาคำตอบให้แก่ตัวเองไม่ได้ (อีกหลายคน) ก็คือ “คนเราเกิดมาทำไม และเกิดมาเพื่ออะไร?” คุณเคยถามคำถามนี้กับตัวเองบ้างหรือยังครับ ถ้ายัง ผมแน่ะนำให้คุณรีบถามตัวเองซะตั้งแต่วันนี้ ในวันที่คุณยังมีโอกาส! ชีวิตที่คุณเหลืออยู่ จะอยู่อย่างมีคุณค่า และมีความหมาย

สำหรับคนที่เคยถามคำถามนี้กับตัวเองแล้ว คำตอบที่ได้อาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองชีวิตของแต่ละคน สำหรับผมได้คำตอบของคำถามนี้ ในมุมมองของชีวิตของผมแล้วครับ

ผมเคยได้ยินคำกล่าวที่แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่ก็มีความหมายแฝงที่มีความลึกซึ้งมาก ผมมักจะนำไปใช้เสมอเมื่อรู้สึกไม่เห็นคุณค่า หรือทำไม่ดีต่อสิ่งใดก็ตาม ประโยคนั้นก็คือ “เวลาที่มีค่ามากที่สุดคือเวลาที่เหลือน้อยที่สุดดังนั้นคุณต้องใช้เวลาทุกวินาทีอย่างมีคุณค่า” หรือ “คุณจะเห็นคุณค่าของการมีสุขภาพดี ก็ต่อเมื่อคุณเจ็บป่วยจนไม่สามารถที่จะรักษาได้แล้ว”

สิ่งที่ผมจะเล่าให้คุณได้รับรู้ในเรื่องต่อไปนี้ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ที่ทำให้ผมมีความเข้าใจในตนเอง และได้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น เพราะผมเกือบที่จะสูญเสียมันไป…

ชีวิตของคนกรุงเทพเป็นชีวิตที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ปากกันตีนถีบ เพื่อให้ตัวเอง และครอบครัวมีชีวิตรอดในแต่ละวัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพ มาเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ชีวิตก็สาละวนในการทำมาหาเลี้ยงชีพ เลี้ยงปากท้องตนเอง และครอบครัว เป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มขั้น ตลอดระยะเวลา ผมอยู่ที่ทำงานมากกว่าอยู่ที่บ้าน โดยให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่าเพื่อจะได้มีอนาคตที่ดีขึ้น เมื่อผลงานดี ผู้บังคับบัญชาก็ย่อมจะพอใจ เมื่อผู้บังคับพอใจก็อาจจะได้รับการปรับค่าจ้างให้สูงขึ้น ตัวผมและครอบครัวก็จะได้มีความสุขมากขึ้น? นอกจากทำงานประจำแล้วผมก็ยังทำอาชีพค้าขาย เป็นอาชีพเสริม เพื่อที่จะมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ทุกๆ วัน ผมจะต้องตื่นตี 3 เพื่อมาเตรียมสิ่งที่จะขาย พอได้เวลาก็นำไปขายที่ตลาดในตอนเช้า หลังจากขายเสร็จก็ต้องรีบไปทำงานให้ทันเวลา 8 โมงเช้า กว่าจะเลิกงานก็ประมาณ 6 โมงเย็น หรือไม่ก็ 2 ทุ่ม บ้างครั้งถ้ามีงานมากก็เลิกงานถึง 4 ทุ่ม หลังเลิกงานก็ยังหอบงานกลับมาทำที่บ้านอีก ขณะเดียวกันต้องจัดเตรียมอุปกรณ์การขายให้พร้อม เพื่อที่จะได้ร่นเวลาให้เร็วขึ้นในตอนเช้า กว่าจะเข้านอนได้ก็เกือบเที่ยงคืน ผมใช้ชีวิตอย่างนี้เป็นประจำทุกวันจนบางครั้งรู้สึกท้อ และเครียดมาก ครอบครัวก็ไม่มีความสุขไปด้วย แต่ก็ใช้วิธีปลอบใจกับตัวเองเสมอว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น ต้องอดทน เพื่อจะได้มีอนาคตที่ดี
สิ่งที่ทำให้มุมมองชีวิตของผมเปลี่ยนไป เมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในชีวิตของผม เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังเดินตรวจงานกับหัวหน้า อยู่ๆ ผมก็วูบไปโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกที ตัวเองล้มไปพิงที่สินค้าที่วางอยู่บนพาเลท ซึ่งถ้าไม่มีสินค้าวางอยู่ ผมคงล้มหัวฟาดพื้นแน่ๆ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก อีกทั้งเป็นคนค่อนข้างมีนิสัยดื่อรั้นไม่ค่อยจะฟังใคร คิดว่า พักผ่อนเดี๋ยวก็คงหาย จึงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งวันหนึ่งขณะที่กำลังขับรถไปทำงานในตอนเช้า ในขณะนั้นผมรู้สึกง่วงมาก พยายามที่จะสลัดความง่วงของตัวเองโดยใช้วิธีเช่นเคย เช่น หยิกตัวเองบ้าง ร้องเพลงดังๆ ในรถบ้าง แต่วันนี้มันไม่ได้ผล ขณะที่รถติดไฟแดงที่สี่แยกแห่งหนึ่ง และเป็นช่วงที่รถกำลังเคลื่อนตัว ด้วยความรีบเร่งของผมที่ต้องการจะไปทำงานให้ทันเวลา จึงได้ขับรถพุ่งไปเพื่อให้พ้นสี่แยก บังเอิญว่ารถคันที่อยู่ข้างหน้าเบรกกะทันหัน เนื่องจากมีรถจักรยานยนต์ตัดหน้า ทำให้รถที่ผมขับพุ่งชนด้านหลังฝั่งขวาของรถคันหน้าอย่างแรง ด้วยความที่ขาดสติ แทนที่จะเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ แต่ไปเหยียบคันเร่งแทน ทำให้รถพุ่งไปทางด้านข้าง แต่ด้วยแรงปะทะ และความเสียหายของตัวรถทำให้รถเคลื่อนตัวไปได้ไม่ไกลมากนัก และสามารถหยุดเองได้ โชคดีที่ผมไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น ขณะเดียวกันนับว่าโชคดีที่สุดในชีวิตก็คือ รถผมไม่พุ่งไปชนกับรถยนต์ หรือ รถจักรยานยนต์คันอื่น หากเป็นเช่นนั้นอาจทำให้เกิดการสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของผู้ที่ไม่รู้เรื่องด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต.
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมได้มานั่งคิดทบทวน และพิจารณาตัวเองว่า ผมจะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองดี ผมควรจะทำอะไรต่อไป คำถามมากหมายผุดขึ้นในหัวของผม... ผมใช้เวลาเกือบสัปดาห์คิดหาคำตอบให้กับตัวเอง ในช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่ผมได้มีและให้เวลากับตัวเอง ในขณะที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีเวลาให้กับตัวเองเลยแม้สักวันเดียว มีแต่คำว่า “งาน” และ “เงิน” ผมเฝ้าคิดตลอดเวลาว่า ถ้าวันนั้นเกิดเหตุรุนแรง ทำให้ผมต้องพิการ หรือเสียชีวิตไป หรือทำให้คนอื่นเสียชีวิต ครอบครัวผมจะอยู่อย่างไร? เงินที่ผมหามาได้จะช่วยผมและครอบครัวได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ? ทำไมสิ่งนี้ต้องมาเกิดขึ้นในชีวิตของผม? ผมเกิดมาทำไม และเกิดมาเพื่ออะไร? และสิ่งใดที่จะทำให้ชีวิตของผม และครอบครัวมีความสุขได้ “เงิน” คือคำตอบของทุกสิ่งใช่หรือไม่? เป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ในขณะนั้น ท้ายที่สุดผมก็ได้รับคำตอบของคำถาม ในเช้าของวันหนึ่ง...

“คุณค่าของชีวิต” ในมุมมองของผม ผมมองว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้ และทำชีวิตให้มีคุณค่า แล้วคุณค่าของชีวิตคืออะไร สำหรับผมคิดว่า ชีวิตจะมีคุณค่าได้ต้องประกอบไปด้วยสิ่งที่มีค่าอย่างน้อย 2 สิ่ง

สิ่งแรก คุณค่าของชีวิต คือ การทำชีวิตให้ถึงพร้อม ด้วยการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อันประกอบด้วย “การทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส”

โดยพื้นฐานของชีวิต คุณต้องทำในสิ่งที่ดีทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น แล้วสิ่งที่ดีล่ะคืออะไร สิ่งที่ดีในความคิดของผม คือ สิ่งที่ทำแล้วคุณมีความสุข ทำแล้วไม่ทำให้ตนเอง และผู้อื่นต้องเดือดร้อนจากการกระทำของตัวคุณ ทำแล้วไม่ต้องหวังว่าใครจะเห็น หรือชมในสิ่งที่คุณทำ นั้นคือ“ความดี” แต่การทำความดีเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ คุณควรที่จะละเว้นการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีด้วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามเพื่อส่งเสริมให้คุณคิด และทำในสิ่งที่ดีให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น นอกเหนือจากนั้นการฝึกฝนจิตใจของคุณให้มีความสุข สงบ และต้องทำให้จิตใจมีความสูงเหนือความคิดแบบโลกๆ ทั่วไป คือ การมองให้เห็นถึงแก่นของชีวิต ให้เห็นความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงลูบคลำแต่เปลือก ทำจิตใจให้เห็นโลกอย่างที่มันเป็น และจงมีความสุขกับมัน เช่น

“ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการได้รับการยกย่อง หรือได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างในสิ่งที่คุณทำเท่านั้นแต่ความสุข ขึ้นอยู่กับความภูมิใจ และมีความสุขในสิ่งที่คุณได้ทำให้แก่คนรอบข้างโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน” หรือ

“ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีทรัพย์สินที่มากมายเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณพอใจกับสิ่งที่คุณมีอยู่ แล้วหรือยัง ถ้าคุณพอ คุณก็ไม่ต้องดิ้นรนจนทำให้ตัวเองต้องมีความทุกข์จากความไม่พอนั้น” หรือ

“ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่คุณสำเร็จการศึกษาที่สูงกว่าคนอื่น แล้วคุยเบ่ง แต่ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่คุณได้เรียนรู้มา สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นที่ด้อยกว่า ทำให้เขาเหล่านั้นมีความสุขได้อย่างไร”

นี้เป็นความคิดเพียงบางส่วน ในหลายความคิดที่จะทำให้คุณเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น

สิ่งที่สอง คุณค่าของชีวิต คือ การให้ และสิ่งที่คุณควรจะให้เป็นอันดับแรกก็คือ “ตัวคุณ”

คุณจงให้คุณค่าของการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ให้เกิดความสมดุล และเป็นสุข ไม่ว่าจะเป็นด้านอาชีพ การงาน สุขภาพ ครอบครัว ฯลฯ ชีพ กดุล ไม่ว่าจะเป้มี แเช่น

- คุณต้องมีความพอดีต่อการใช้ชีวิต ไม่ตึง หรือ หย่อนจนเกินไป

- คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีความสุขในสิ่งที่คุณมี และรู้จักแบ่งปัน ไม่ใช่รับ หรือเอามาเป็นของตนเองตลอดเวลา

- คุณต้องให้คุณค่าในดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง เมื่อคุณมีสุขภาพที่ดี คุณย่อมจะสามารถทำสิ่งที่คุณฝันหรือปรารถนาได้ เพราะ สุขภาพจิตจะดีได้ เมื่ออยู่ในร่างกายที่แข็งแรง

- คุณต้องให้คุณค่าต่อชีวิต ด้วยความมีสติในทุกเรื่องที่คุณกำลังทำ จงใช้สติ อย่าใช้ความอยาก นำชีวิต เพราะถ้าคุณใช้ความอยากเป็นเข็มทิศนำชีวิตของคุณแล้ว คุณจะไม่มีวันพอ เมื่อคุณไม่พอ คุณก็จะไม่มีความสุข
สำหรับการให้ที่สูงขึ้นไปอีก เราเรียกว่า “จาคะ” คือการสละสิ่งของ หรือความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น สิ่งนี้ถือเป็นการให้สูงสุด ตัวอย่างที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้ในขณะนี้ และเป็นสิ่งที่ผมให้ความเคารพบูชาอย่างสูงสุดในชีวิต สำหรับการเป็นคนไทยคนหนึ่งในผืนแผ่นดินไทย ก็คือ พระจริยาวัตรอันดีงาม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงปฏิบัติต่อปวงชาชนชาวไทยทุกคน... แม้จะลำบากพระวรกายอย่างไร ก็ทรงไม่เคยท้อ ทรงทำเพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความสุข ดังพระราชดำรัชตอนหนึ่งว่า “ความทุกข์ของประชาชน คือความทุกข์ของพระองค์ เมื่อประชาชนมีความสุข พระองค์ก็มีความสุขด้วย” สำหรับผมไม่มีตัวอย่างใดที่ดีที่สุดกว่านี้แล้ว ผมคิดว่าคุณก็คงจะคิดเหมือนผมเช่นกัน
ทุกวันนี้ผมเริ่มใช้ชีวิตอย่างมีสติ และมีคุณค่ามากขึ้น ทำอย่างพอดีไม่เกินกำลังของตนเอง ทุกครั้งที่จะทำอะไร ผมมักจะถามตัวเองก่อนเสมอ ผมทำสิ่งนั้นไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วผม และครอบครัวจะมีความสุขไหม ใครจะเดือดร้อนจากสิ่งที่ผมทำหรือไม่ ผมจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา เมื่อทำแล้วผลที่เกิดขึ้นกับผม และครอบครัว เราสามารถรับกับผลของการกระทำนั้นได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด ผมก็จะไม่ทำมัน...

แล้วคุณละเห็นคุณค่าของชีวิต ของตัวคุณเองแล้วหรือยัง ?

ที่มา http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104454&Ntype=7

เทคนิคการทำข้อสอบคณิตศาสตร์ให้ได้คะแนนดี

เทคนิคการทำข้อสอบคณิตศาสตร์ให้ได้คะแนนดี


ก่อนสอน

1. ทบทวน ท่อง ทฤษฎีบทหรือนิยาม ของบทเรียนที่จะมีการสอบ ให้ได้อย่างขึ้นใจ ชนิดที่ว่าแม้พิสูจน์โจทย์ข้อสอบนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแสดงความสัมพันธ์ของโจทย์กับทฤษฎีบทหรือนิยามนั้นๆ ให้อาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบอ่านได้อย่างถูกต้อง รับรองว่าต้องได้คะแนนข้อนั้นอย่างแน่นอน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับลายมือผู้สอบจะเขียนได้สวยแค่ไหน

2. ทบทวนแบบฝึกหัดทุกข้อ ที่อาจารย์ผู้สอนชอบย้ำนักหนาในห้องว่า "ข้อสอบก็ออกในแนวนี้ละ" หรืออาจารย์บางท่านก็พูดย้ำตรงๆ เลยว่า "ข้อนี้ออก............นะ" ดังนั้นเวลาเรียนถ้าเจออาจารย์พูดแบบนี้ ก็อย่าลืมเอาปากกาแดงทำ * กาไว้ที่แบบฝึกหัดข้อนั้นให้ใหญ่ๆ เลยทีเดียว รับรองไม่พลาด ถ้าข้อไหนทวนหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ให้ฝึกเขียนหลายๆครั้ง จนจำขึ้นใจ

3. เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนที่จะใช้ในการสอบให้พร้อม เข้านอนแต่หัวค่ำทำใจให้ผ่องใส อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิทำใจนิ่งๆว่างๆก่อนนอนสัก 5 นาที จะทำให้ใจสงบและหลับอย่างเป็นสุข พร้อมจะเผชิญอุปสรรค ของวันใหม่

4. ตื่นนอนตี 5 ของวันใหม่ ล้างหน้าล้างตาให้สดใส ทบทวนเนื้อหาทั้งหมด ตลอดจนทฤษฎีบท แบบฝึกหัด (ที่ทบทวนไปเมื่อวาน) โดยอ่านแบบผ่านๆ สายตา ความเงียบสงบของเช้าตรู่จะช่วยให้จำได้ดี

5. ถึงหน้าห้องสอบก่อนเวลา สัก 10 นาที ตรวจเลขที่นั่งสอบของตนเองให้เรียบร้อย และไม่ต้องสนใจที่จะถกปัญหาเรื่องโจทย์กับใคร ตลอดจนไม่อ่านหนังสือ หรือทบทวนอะไรในหัวสมองอีก ทำใจให้เบิกบานว่างๆ ไม่สนใจคนรอบข้าง

6. เมื่อผู้คุมสอบเรียกเข้าห้อง เข้านั่งประจำโต๊ะ วางอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องเขียนในทิศทางที่หยิบใช้ได้ง่าย นั่งตัวตรงทำใจว่างๆ เตือนสติตนเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่พยายาม "ทุจริต" ด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนั้นเท่ากับเราหมดภูมิและพยายามฆ่าตัวตายชัดๆ

7. รอกรรมการแจกข้อสอบ หรือถ้าข้อสอบวางคว่ำอยู่บนโต๊ะแล้ว ให้รอคำสั่งเปิดข้อสอบ เมื่อเวลาสัญญานเริ่มทำการสอบดังขึ้น

ขณะทำการสอบ

1. เปิดข้อสอบเมื่อได้รับคำสั่ง ตรวจสอบเวลาทำการสอบรวมกี่ชั่วโมงที่หัวข้อสอบให้แน่ชัด เสร็จแล้วเขียนชื่อ/นามสกุล ชั้น/ห้อง เลขที่ประจำตัว เลขที่สอบให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันให้ฟังกรรมการผู้คุมสอบไปด้วยว่า มีคำสั่งแก้ไขข้อสอบหรือไม่ ถ้ามีให้พลิกข้อสอบ ไปทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงกลับมาเขียนข้อมูลส่วนตัวบนหัวกระดาษคำตอบให้เรียบร้อย

2. พลิกดูข้อสอบทั้งหมดมีกี่ข้อ เป็นปรนัยกี่ข้อ อัตนัยกี่ข้อ คำนวณเวลาที่มี โดยปกติข้อสอบอัตนัย 1 ข้อ จะใช้เวลามากกว่าปรนัยประมาณ 3 เท่า ว่าควรจะใช้เวลาคิดได้ข้อละกี่นาที และเหลือเวลาไว้ตรวจสอบคำตอบทั้งหมดในตอนท้ายประมาณ 10 นาที เพราะผู้ออกข้อสอบจะคำนึงถึงเวลาที่ให้กับความยากง่ายของข้อสอบเสมอ

3. เมื่อได้เวลาเฉลี่ยต่อข้อในการทำข้อสอบแล้ว พลิกข้อสอบดูคร่าวๆ ตั้งแต่ข้อ 1 ไปถึงข้อสุดท้ายอีกครั้ง เพื่อดูว่าข้อสอบข้อใดบ้างง่ายสำหรับเรา ให้ลงมือทำเลยโดยไล่จากข้อสอบแบบปรนัยไปแบบอัตนัย

4. อ่านคำสั่งให้เข้าใจว่าแต่ละส่วนของข้อสอบเขาให้เราตอบอย่างไร ให้วงกลม กากะบาด หรือเติมคำตอบสั้นๆ จับคู่ หรือแสดงวิธีทำ มีผู้เข้าสอบเป็นจำนวนมากต้องเสียใจกับความผิดพลาด เพราะละเลย ไม่อ่านคำสั่งให้ดี เกี่ยวกับการแสดงคำตอบที่ถูกต้องมามากต่อมากแล้ว

5. เริ่มทำข้อสอบที่ยากจากข้อแรกไปตามลำดับ อย่าลืม "การวิเคราะห์โจทย์อย่างมีประสิทธิภาพ" จะช่วยให้วางแผนในการคิดหาคำตอบในแต่ละข้อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

6. ข้อไหนคิดจนหมดเวลาเฉลี่ยแล้วให้ผ่านไปก่อน คิดข้ออื่นต่อไป ถ้ามีเวลาเหลือแล้วค่อยกลับมาทำใหม่ แต่อย่าลืมจะต้องคงเวลาประมาณ 10 นาทีไว้ตอนท้ายสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของการทำข้อสอบเสมอ

7. อย่าเขียนสูตร ทฤษฎีบท นิยาม หรือวิธีคิดใดๆ ไว้บนมือขณะอยู่ในห้องสอบ เพราะจะทำให้เกิดปัญหากับกรรมการคุมสอบได้ง่ายที่สุด ถ้าจำเป็นควรเขียนบนกระดาษทดที่กรรมการคุมสอบแจกมา

8. สำหรับข้อสอบแบบอัตนัย ให้เขียนวิธีทำด้วยลายมือที่อ่านง่าย ชัดเจน ได้รูปแบบของการทำโจทย์คณิตศาสตร์ ในชั้นเรียน (ไม่ใช้รูปแบบจากการเรียนพิเศษ ซึ่งนั่นควรเขียนเก็บไว้เพื่อความเข้าใจของตนเองเท่านั้น) เพราะคำตอบที่อ่านง่ายตั้งใจเขียน แม้จะตกหล่น ขาดเกินไปบ้าง ก็ชนะใจผู้ตรวจข้อสอบในเรื่องการให้คะแนนมามากต่อมากแล้ว

9. ใช้เวลาช่วง 10 นาทีสุดท้าย ตรวจสอบคำตอบที่เราทำมาทั้งหมด ดูว่าเราทำตกหล่น เผลอเลอ ลืมอะไรตรงไหนอีกหรือไม่ มีผู้สอบที่พลาดการได้คะแนน เพราะความเผลอเลอ ลืม ไม่รอบครอบ ทำให้เสียคะแนน อดได้คะแนน หรือไม่ได้รับการคัดเลือก หรือแพ้เขาเพียง 1 คะแนน มามากต่อมากแล้ว (ใช้เวลาในการคิดจนหมดไม่มีเวลาทบทวน) แต่อย่าทบทวนในลักษณะคิดวกไป วนมา แก้ไขหลายครั้งแบบสับสนจนทำให้ข้อถูก กลายเป็นข้อผิด เพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง ฉะนั้นทุกข้อที่ทำไปแล้วให้ทบทวนเพียงครั้งเดียว

10. ส่งกระดาษคำตอบให้กรรมการผู้คุมสอบเมื่อตรวจทานเสร็จหรือได้ยินสัญญานหมดเวลาสอบ ขณะส่งกระดาษให้เหลือบดูที่หัวกระดาษคำตอบสักนิดว่าเขียน ชื่อ/นามสกุล เลขที่สอบหรือเลขประจำตัว เรียบร้อยแล้วหรือไม่ เพราะยังแก้ไขได้ทัน แต่ถ้าส่งกระดาษ คำตอบไปแล้ว อย่าไปคว้ากลับมาแก้ไขด้วยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้รับการทวงถามจากกรรมการผู้คุมสอบ

ที่มา http://www.baanmaha.com/community/thread28494.html

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อังกฤษ: Magha Puja) เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (มักอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม) ถ้าในปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4)

วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร
ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทp โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน
สำหรับในปี พ.ศ. 2554 นี้ วันมาฆบูชาจะตรงกับ วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสุริยคติ

 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชาในพุทธประวัติ

 ความสำคัญ
"วันมาฆบูชา" เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์แก่มหาสังฆสันนิบาตในมณฑลวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งในวันนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 4 ประการคือ
พระสงฆ์ 1,250 รูปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่างๆ ได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ซึ่งเรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา

พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ คือผู้ได้อภิญญา 6 ข้อ

วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3)

ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต (มาจากศัพท์บาลี จตุ+องฺค+สนฺนิปาต แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการ) โดยประชุมกัน ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพุทธศักราช)

 มูลเหตุ
มีผู้กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้พระสาวกทั้ง 1,250 องค์มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย มาจากในวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์ เป็นวันพิธีศิวาราตรี พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัวกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน[8]หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธาพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจากพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย

 จาตุรงคสันนิบาต
กลุ่มป่าไผ่ร่มรื่น ในกลุ่มโบราณสถานวัดเวฬุวันมหาวิหาร สถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์โดยพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นต่างไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ อันเป็นที่ประทับ โดยมีคณะทั้ง 4 คือ คณะศิษย์ของชฎิล 3 พี่น้อง คือ คณะพระอุรุเวลกัสสปะ (มีศิษย์ 500 องค์) คณะพระนทีกัสสปะ (มีศิษย์ 300 องค์) คณะพระคยากัสสปะ (มีศิษย์ 200 องค์) และคณะของพระอัครสาวกคือคณะพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ (มีศิษย์ 250 องค์) รวมนับจำนวนได้ 1,250 รูป (จำนวนนี้ไม่ได้นับรวมชฎิล 3 พี่น้อง และพระอัครสาวกทั้งสอง

การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันมาฆฤกษ์นี้ เป็นไปโดยมิได้มีการนัดหมาย และเป็นการเข้าประชุมของพระอรหันต์จำนวนมากเป็นมหาสังฆสันนิบาต และประกอบด้วย "องค์ประกอบอัศจรรย์ 4 ประการ" คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 องค์นั้น ได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นพระสงฆ์ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง , พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ดังกล่าวแล้ว

ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นมหาสังฆสันนิบาตอันประกอบไปด้วยเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว จึงทรงเห็นเป็นโอกาสอันสมควรที่จะแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" อันเป็นหลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาแก่ที่ประชุมพระสงฆ์เหล่านั้น เพื่อวางจุดหมาย หลักการ และวิธีการ ในการเข้าถึงพระพุทธศาสนาแก่พระอรหันตสาวกและพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธองค์จึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์เป็นพระพุทธพจน์ 3 คาถากึ่ง ท่ามกลางมหาสังฆสันนิบาตนั้น มีใจความดังนี้
พระพุทธพจน์คาถาแรกทรงกล่าวถึง พระนิพพาน ว่าเป็นจุดมุ่งหมายหรืออุดมการณ์อันสูงสุดของบรรพชิตและพุทธบริษัท อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ดังพระบาลีว่า "นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา"

พระพุทธพจน์คาถาที่สองทรงกล่าวถึง "วิธีการอันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งปวงโดยย่อ" คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญแต่ความดี และการทำจิตของตนให้ผ่องใสเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง ส่วนนี้เองของโอวาทปาฏิโมกข์ที่พุทธศาสนิกชนมักท่องจำกันไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งคาถาในสามคาถากึ่งของโอวาทปาฏิโมกข์เท่านั้น

ส่วนพระพุทธพจน์คาถาสุดท้าย ทรงกล่าวถึงหลักการปฏิบัติของพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา 6 ประการ คือ การไม่กล่าวร้ายใคร, การไม่ทำร้ายใคร , การมีความสำรวมในปาฏิโมกข์ทั้งหลาย, การเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร และการรู้จักที่นั่งนอนอันสงัด
 
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ใครควรจะเสียใจกว่ากัน

ใครควรจะเสียใจกว่ากัน


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไปจึงกำลังจะฆ่าตัวตาย

ขณะนั้นเองมีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้าจึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า
"โยมจะทำอะไรรึ"

หญิงสาวตอบ
"อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆ ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"

พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"

หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า
"ทำไมล่ะเจ้าคะ"

พระธุดงส์ตอบว่า
"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"

พระธุดงส์ตอบ
"โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"

สั้น ๆ แต่มีความหมาย

ที่มา http://luve.exteen.com/20060424/entry

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปรัชญาความรัก 14 แบบ ..

A man overtime falls in love with woman he is attracted to, and a woman overtime become more attracted to the man she loves.
ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก

Friendship is love minus sex and plus reason LOVE is friendship but love is friendship plus sex and minus reason.
มิตรภาพคือ ความรักลบด้วยเซ็กซ์ และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป
ส่วนรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์ และลบเอาเหตุผลออกไป
 
To love is nothing. To be loved is something.    
To love and be loved is everything!!!!
การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง
การถูกรักเป็นเรื่องของอะไรบางอย่าง
ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)

You may only be one person to the world
but you may also be the world to one person
คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้
แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้

You know when you love someone when you want them to be happy
even if their happiness means that you're not of it.
คุณรู้ว่าคุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข
แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายถึง
การที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

Love looks not with eyes, but with the mind.
ความรักนั้นเห็นไม่ได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ

Love is like standing in the wet cement.
The longer you stay, the harder it is to leave.
And you can never go without leaving your shoes behind.
ความรักก็เหมือนปูนเปียกๆ
ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ
จากไปไม่ได้เท่านั้น
และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย
โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง

Don't marry a person you can live with,
marry somebody you can't live without.
จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้"
จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"

If you love someone tell them don't wait or also
you will lose the chance.
ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย
ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ..

It only takes a second to say " I love you"
but it will take a lifetime to show you how much.
ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า" ฉันรักเธอ"
แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร?

The essential sadness is to go through life without loving.
But it would be almost equally sad to leave this
world without ever telling those you loved that you love them.
ความเศร้าที่สำคัญคือการใช้ชีวิตโดยปราศจากความรัก
แต่มันคงจะเศร้าพอๆกันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า
"คุณรักพวกเค้า"

A man falls in love through his eyes,
a woman through her ears.
ผู้ชายตกหลุมรักทางตา
แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู

To love is to risk not being loved in return.
To hope is to risk pain.
To try is to risk failure,
but risk must be taken,
because the greatest hazard in life is to risk nothing.
การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน
การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว
แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง
เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือการไม่เสี่ยงอะไรเลย

When loving someone.. never regret what you
do. only regret what you didn't do.
เวลารักใคร..อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ
จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ…..

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประวัติวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก

ประวัติวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก



กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จัก

ก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ
เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรัก

ที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่งบัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อ

แสดงถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการ

แสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...

ที่มา http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_01474.php